วิธีคิดในการตั้งค่าตัวคุณเบสท์ 30,000 บาทต่อชั่วโมง
  AREA แถลง ฉบับที่ 456/2559: วันพฤหัสบดีที่ 01 ธันวาคม 2559

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            ช่วงที่ผ่านมามีข่าวคุณเบสท์ อรพิมพ์ รักษาผล เรื่องที่กองทัพจ้างไปบรรยายชั่วโมงละ 30,000 บาทในเรื่องเทิดพระเกียรติฯ แต่บังเอิญไปพูด “หมิ่น” คนอีสานเข้า ผมคงไม่ไปวิจารณ์ประเด็นการ “หมิ่น” ว่าจริงเท็จประการใด สังคมคงตัดสินได้ แต่ในฐานะผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน จะขอวิเคราะห์ถึงเรื่องค่าตัว 30,000 บาทต่อชั่วโมง คิดกันมาอย่างไร การตั้งราคา “ค่าตัว” ทำอย่างไรนั่นเอง นี่เป็นเรื่อง Market Approach to Value ในวิชาการประเมินค่าทรัพย์สิน

            จากหลักฐานที่มีคนแสดงออกมาเป็นระยะ ๆ จากการ “ขุดคุ้ย” คุณอรพิมพ์ ชี้ว่า ค่าจ้างชั่วโมงละ 30,000 บาท (http://bit.ly/2flkz8Z) หรือครึ่งวันก็ประมาณ 100,000 บาทนั้นเป็นเรื่องจริง มีการจ้างจริง และคุณอรพิมพ์ก็คงได้รับจริง หาไม่คงไม่ดูมีฐานะดี มีกระเป๋าราคาแพงใช้ และมีเงินไปทำศัลยกรรมมาจนสวยสดงดงามกว่าเมื่อ 5-6 ปีก่อน ซึ่งคงต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่เรื่องเช่นนี้ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ก็คงไม่ไปก้าวล่วงด้วย

            แต่นั่นก็แสดงความมั่งคั่งจากการนี้ แต่ก็น่าเสียดายที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา กลับไม่ให้วีซ่าเข้าประเทศ โดยคุณอรพิมพ์ชี้แจงว่าเป็นเพราะเอกสารแสดงฐานะทางการเงินไม่ดี ตนเองติดเครดิตบูโร (http://bit.ly/2gev4KB) อย่างไรก็ตามทางเครดิตบูโรก็ออกมาชี้แจงว่าไม่จริงเพราะเครดิตบูโร ไม่ไปเปิดเผยสถานะนี้ต่อสถานทูต (http://bit.ly/2fLWuJf) กรณีนี้แสดงว่าแม้คุณอรพิมพ์มีฐานะทางการเงินดี แต่ก็ไม่มีหลักฐานการมีฐานะ อาจเป็นเรื่องภาษี หรือการไม่รู้จักออม แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องว่ากันไป

            ประเด็นที่น่าสนใจคือค่าจ้าง 30,000 บาทต่อชั่วโมงนี้มาจากไหน ทั้งที่ตามระเบียบราชการ จะจ้างได้เพียง 1,600 บาทเท่านั้น ตามข่าว “ทีมโฆษก คสช. ชี้แจงไม่รู้ค่าจ้าง หลังถูกแฉจ้าง เบส อรพิมพ์ พูดในกองทัพสูงกว่าระเบียบกำหนดไว้ วอนขอให้ดูที่แก่นเรื่องที่พูด”(http://bit.ly/2fjqqZi) การชี้แจงนี้น่าจะยิ่งสร้างความคลางแคลงใจ แสดงว่าถ้าใครพูดถึงเรื่องเทิดพระเกียรติฯ จะได้ค่าจ้างแพงกว่า ทั้งนี้คงไทยล้วนรักในหลวง และการได้มาพูดเรื่องนี้น่าจะเป็นมงคล เป็นที่ปลาบปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้ โดยไม่รับเงินด้วยซ้ำไป (ถ้าเป็นผู้เขียนหรือท่านอื่นๆ ก็ตาม)

            ผมไปสอนหนังสือที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตย์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะบัญชี มหาวิทยาลัยดังๆ ทั่วประเทศ เขาก็จ้างตามอัตราปกติ สอนปริญญาเอก ก็ได้ชั่วโมงละไม่เกิน 5,000 บาท ผมไปทำงานให้สหประชาชาติ ธนาคารโลก หรือองค์กรระหว่างประเทศ ในแต่ละวันที่ไป เขาก็จ่ายให้ไม่เกิน 1,000-2,000 เหรียญสหรัฐหรือไม่เกิน 70,000 บาทต่อวัน หรือชั่วโมงละ 10,000 บาท เป็นต้น อย่างไรก็ตามนั่นเป็นการว่าจ้างตามระเบียบ ระเบียบของแต่ละสถาบันก็อาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ใกล้เคียงกัน เพราะต่างก็เทียบเคียงกันไปมานั่นเอง

            แต่กรณีค่าตัวชั่วโมงละ 30,000 บาทของคุณอรพิมพ์ นั้นเป็นในข่ายของดารา ซึ่งมักจะมีค่าตัวสูงมากในระดับนี้ ยิ่งถ้าเป็นดาราดังๆ ไปปรากฏตัว ก็ยังได้ค่าตัวแพงกว่าคุณอรพิมพ์ก็ยังมี ค่าตัวเหล่านี้นี่เองที่ควรพิจารณากันว่ามาจากไหน ซึ่งคำตอบที่ชัดเจนก็คือมาจากตลาด เช่น ปกติบริษัทที่รับจ้างจัดงานต่าง ๆ จะมี “ระเบียบ” กันเองอยู่แล้วว่าควรจะจ้างกันขนาดไหน  เมื่อมีดาราดังเกิดใหม่เข้ามา มีการจ้างงานก็คงต้องอ้างอิงตาม “ระเบียบ” เก่า แต่ก็อาจมีการหักลบกลบหนี้กันตามความจัดเจน ความใหม่ ความดัง ฯลฯ

            ค่าตัวจึงกำหนดตามราคาตลาดที่แล้วแต่อุปสงค์และอุปทาน ตามวิธีการเปรียบเทียบตลาด หรือ Market Approach to Value ในวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สิน อย่างเช่น ดาราคนนี้กำลังดังมาก ก็จะได้รับค่าจ้างที่สูง แต่ถ้าดาราคนนั้นชักจะแก่ตัวลง ทำงานไมได้ดี  หรือ “หมดอนาคต” เพราะอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น ถูกรถชนจนพิการ หรือเสียชื่อเสียงแบบกะทันหัน เช่น กรณี “กราบรถ” (http://bit.ly/2fziYdf) ที่คงทำให้ไม่มีใครมาว่าจ้าง (ไปอีกนาน) เป็นต้น

            ปกติกลไกตลาดจะเป็นเครื่องตั้งค่าตัว หรือค่าจ้าง กลไกตลาดคือ “ตลาดในระบบเศรษฐกิจนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลาดทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค และยังช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าและบริการมาบำบัดความต้องการได้อย่างทั่วถึง. . .กลไกราคา หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดอุปสงค์และอุปทาน ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ” (http://bit.ly/2gwojq8)

            คนแต่ละคนจะมี “ราคา” หรือ “ค่าจ้าง” เท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับ “แบรนด์” ของเขา ซึ่งก็คือค่าความนิยม (Goodwill) ในตัวของเขาเองด้วย อย่างเช่น กรรมกร ก็อาจมีค่าแรงที่ 300 บาทต่อวัน แต่ในกรณีที่หาคนงานยาก ก็อาจเพิ่มเป็น 320 หรือ 350 ต่อวัน หรือชั่วโมงละ 30 บาท เป็นต้น  “คนใช้” จากประเทศเพื่อนบ้านก็อาจมีค่าแรง 10,000 บาทต่อเดือน แต่ถ้าทำงานได้ดี ก็อาจสูงถึง 12,000 – 15,000 บาท เป็นต้น แต่ถ้ามีแบรนด์ที่ดีขึ้น ค่าแรงก็จะแพงขึ้นตามลำดับนั่นเอง

            แต่แบรนด์และค่าความนิยม ก็มีวัฏจักร มีขาขึ้น ขาลงตามกลไกตลาดเช่นกัน เราท่านทุกคนก็ต้องพยายามรักษาแบรนด์ของตนเองให้ดี จะได้ประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไป

อ่าน 10,052 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved