เพื่อสนองตอบต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลตามนโยบายของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) มีข้อเสนอแนะง่าย ๆ แต่ได้ผล
ถ้ารัฐบาลอยากจะให้เศรษฐกิจดีขึ้น หนทางง่าย ๆ อย่างหนึ่งก็คือการส่งเสริมการซื้อบ้านมือสองซึ่งเป็นบ้านที่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียต้นทุนในการผลิตใหม่ โดยดำเนินการดังต่อไปนี้:
1. ประกาศให้ผู้ที่มีบ้านที่จะขายในราคาถูก ที่อาจเป็นทั้งผู้ประกอบการที่มีหน่วยขายเหลืออยู่น้อย ไม่มีงบประมาณในการโฆษณา หรือประชาชนทั่วไปผู้มีบ้านหรือห้องชุดเป็นของตนเอง
2. สินค้าบ้านราคาถูกนี้ เช่น ห้องชุดราคาไม่เกิน 600,000 บาท ทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท บ้านแฝดราคาไม่เกิน 1,500,000 บาท และบ้านเดี่ยวราคาไม่เกิน 2,000,000 บาท เพื่อให้โอกาสคนซื้อบ้านได้ซื้อบ้านในราคาถูก และคนขายบ้านได้เงินสดไปหมุนเวียนโดยไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินหรือไม่ต้องไปขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาล
3. ให้ผู้สนใจขายบ้านลงทะเบียนไว้กับกรมบังคับคดี การเคหะแห่งชาติ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค บสก. หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง โดยต้องเสียค่าธรรมเนียมในการว่าจ้างบริษัทประเมินที่เป็นกลางไปประเมินหน่วยละประมาณ 3,000 บาท โดยให้มีประกันกับบริษัทประเมินไว้ว่า หากประเมินผิดไปจากความเป็นจริงเกิน 10% ต้องเสียค่าปรับ 20 เท่าของค่าจ้าง
4. ให้ใช้หอประชุมกองทัพบก ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หรือสถานที่อื่นใดจัดการขายบ้านเหล่านี้ โดยให้จัดบูธได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนผู้ขายบ้านรายย่อย หรือให้บริษัทพัฒนาที่ดินที่มีสินค้าถูกเหล่านี้ขายมาขาย ยกเว้นหากเป็นรายใหญ่ก็อาจคิดค่าใช้จ่ายบ้าง
5. ให้ผู้ขายบ้านตั้งราคาขายตามราคาที่ประเมินได้ ใครมาก่อนได้ไปก่อน โดยแต่ละรายต้องวางเงินจองไว้ 50,000 บาท หากไม่สำเร็จในการขาย ให้ยกเงินนี้ให้กับผู้ขาย
6. ในกรณีที่ยังมีหน่วยขายเหลือ ให้ตกลงกับเจ้าของบ้านเพื่อลดราคาเหลือ 80% แล้วนำออกมาประมูลเพื่อส่งเสริมการขายในอีก 1 เดือนให้หลัง
การดำเนินการนี้เชื่อว่าจะสามารถขายบ้านได้ประมาณ 20,000 หน่วย หากเฉลี่ยหน่วยละ 1,000,000 ล้านบาท ก็จะเป็นเงิน 20,000 ล้านบาท เงินที่ได้ส่วนนี้จะช่วยหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อีกมาก และเป็นเงินสุทธิเพราะไม่ต้องผลิตที่อยู่อาศัยขึ้นใหม่ เงินทองไม่ไปสู่บริษัทปูนซีเมนต์หรือบริษัทเหล็กรายใหญ่ แต่จะกระจายไปสู่ประชาชนทั่วไปนั่นเอง