ที่มา: ธนาคารโลก http://goo.gl/gbAvzn (page 26)
ที่บอกว่าสอบตกนี้ มองได้จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาที่อยู่อาศัย ไม่ให้มุ่งให้ร้ายกับรัฐบาล แต่เพียงหวังให้มองให้รอบด้าน หาแนวทางพัฒนาประเทศภายใต้เงื่อนไขพิเศษนี้ให้ดีกว่านี้
ประเด็นที่สอบตกชัดเจนก็คือการพัฒนาเศรษฐกิจ เมื่อปลายปี 2557 ทางราชการว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตไม่เกิน4.5% โดยประมาณการไว้ที่ 4.0% (http://goo.gl/9SRICl) แต่ล่าสุดรัฐบาลบอกว่าจะพยายามให้ถึง 3.0% และธนาคารโลกพยากรณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2558 จะเติบโตเพียง 2.5% (http://goo.gl/gbAvzn) นี่แสดงให้เห็นชัดว่าการบริหารของรัฐบาลไม่บรรลุความสำเร็จ จึงถือว่าสอบตก
รัฐบาลอาจมองว่าที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ก็เพราะเศรษฐกิจโลกย่ำแย่ แต่ในความเป็นจริงธนาคารโลกประเมินเศรษฐกิจโลกเติบโต 2.6% ในปี 2557 ในขณะที่ไทยเติบโตเพียง 0.9% ในปีดังกล่าว ส่วนในปี 2558 ประมาณการเศรษฐกิจโลกไว้เท่ากับเศรษฐกิจไทยที่ 2.5% และในปี 2559 เศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโต 3% ในขณะที่พยากรณ์ของไทยไว้เพียง 2% เท่านั้น ยิ่งกว่านั้นในภูมิภาคอาเซียนนี้แทบไม่มีประเทศใดที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำเท่าประเทศไทย จึงแสดงให้เห็นว่าที่เศรษฐกิจไทยไม่ดีนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก เพราะประเทศเพื่อนบ้านยังอยู่ในฐานะที่ดีกว่าไทยเรา
หากเปรียบเทียบข้อมูลเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัยจากการประมาณการทั้งปีของปี 2558 โดยศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยราคา 1-5 ล้านบาท เปิดตัวลดลงถึง 16% ในด้านจำนวนหน่วย (89,729 หน่วยในปี 2557 และ 75,404 หน่วยในปี 2558) และลดลง 10% ในด้านมูลค่าการเปิดตัวใหม่ (222,830 ล้านบาทในปี 2557 และ 199,528 ล้านบาทในปี 2558) ที่ยังเปิดขายมากเป็นบ้านราคาสูงๆ ซึ่งแสดงว่าผู้มีรายได้สูงไม่ได้ผลกระทบจากเศรษฐกิจและบ้านราคาต่ำกว่าล้านก็เกิดเพิ่มขึ้นมาก เพราะการเก็งกำไรในส่วนหนึ่ง โดยนัยนี้ตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมก็เสื่อมถอยลง
ส่วนในด้านการเมืองที่มองดูสงบลงนั้นเพราะกลุ่มการเมืองที่ต้องการขับไล่รัฐบาลที่แล้ว ประสบความสำเร็จโดยการเกิดรัฐประหาร จึงไม่ได้แสดงบทบาทใด ๆ อีก ในขณะที่กลุ่มที่หนุนรัฐบาลเดิมก็ถูกควบคุมไว้ จึงไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่น แม้ราคายางจะตกต่ำจากกิโลกรัมละ 80 บาท ซึ่งเคยเกิดการก่อจลาจลขึ้น เหลือเพียง 40 บาทในปัจจุบันก็ยังไม่มีการเรียกร้องใด ๆ อย่างจริงจัง เป็นต้น อย่างไรก็ตามความสงบทางการเมือง ก็คงเป็นเฉพาะบนผิวน้ำ ส่วนคลื่นใต้น้ำ ก็เป็นข้อห่วงใยอีกประการหนึ่ง
ที่อยากให้รัฐบาลมองให้รอบด้านก็เพราะที่ผ่านมารัฐบาลมักปรึกษาเฉพาะกลุ่ม เช่น ดร.สมคิด รองนายกรัฐมนตรี ก็ปรึกษาแต่สมาคมนักพัฒนาที่ดิน 3 สมาคม ทั้งที่ในวงการมีสมาคมที่เกี่ยวข้องมากมายถึง 30 กว่าแห่ง ที่ผมเสนอให้ปรึกษาให้กว้างขวางนี้ ไม่ได้มองในแง่ที่จะให้เชิญผมไปพบ-ปรึกษา เอาเป็นว่าถึงเชิญผมก็ไม่ไป ไม่ได้หยิ่ง แต่เห็นว่ามีคนมีความรู้ความสามารถมากมายโดยไม่ต้องเป็นผม เพียงแต่รัฐบาลควรรับความเห็นจากทุกฝ่ายเพื่อให้มีแนวทางการแก้ไขที่ถูกต้องเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากมีการเลือกตั้งโดยเร็ว ก็จะส่งผลต่อการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การกีดกันทางการค้า หรือความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศตะวันตกก็จะดีขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ก็คงมากขึ้น ในกรณีนี้ก็จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเด่นชัด ปรากฏการณ์การเลือกตั้งกับเศรษฐกิจสามารถเห็นได้ชัดเจนในกรณีประเทศเมียนมาที่เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อบรรยากาศทางการเมืองผ่อนคลายลงนั่นเอง
ในอีกแง่หนึ่ง รัฐบาลควรจะพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็วด้วยการให้สัมปทานรถไฟฟ้าใจกลางเมือง ทั้งนี้รัฐบาลไม่ต้องออกเงินก่อสร้างเอง จะทำให้เกิดรายได้สูง การอนุญาตให้ก่อสร้างอย่างหนาแน่นสูง (High Density) แต่ไม่แออัด (Overcrowdedness) โดยกำหนดผังเมืองใหม่โดยให้การก่อสร้างในเขตใจกลางเมือง สามารถสร้างสูงได้ถึงประมาณ 15-20 เท่าของขนาดแปลงที่ดิน (Floor Area Ratio: FAR) การนำที่ดินของรัฐใจกลางเมืองมาพัฒนาเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่เอามาสร้าง "บ้านคนจน" เพื่อนำเงินมาพัฒนาประเทศ การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อนำภาษีที่ได้นี้มาพัฒนาประเทศ ทำให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มพูนมากกว่าภาษีที่เสียไป การสร้างนิคมอุตสาหกรรมและกาสิโน เป็นต้น โปรดดูรายละเอียดที่ http://goo.gl/O7EBz2
เอาใจช่วยให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าครับ