ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส

          ณ ข้อมูลล่าสุดเมื่อกลางปี พ.ศ.2553 มีบ้านและห้องชุดในโครงการจัดสรรภาคเอกชนทั้งหมดที่ยังรอคนซื้ออยู่จำนวน 110,666 หน่วยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และต้องใช้เวลาอีก 18 เดือนจึงจะขายหมด อาคารชุดลอยตัวที่สุด จะใช้เวลาอีกไม่เกิน 11 เดือน ส่วนบ้านเดี่ยวน่าห่วงสุด จะใช้เวลาถึง 36 เดือน
          บ้านจำนวนนับแสนหน่วยนี้คือคู่แข่งของบ้านใหม่ที่คิดจะสร้างในอนาคต ทั้งนี้เป็นข้อค้นพบของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ซึ่งดำเนินการสำรวจโครงการอสังหาริมทรัพย์มาตั้งแต่ พ.ศ.2537 หรือเมื่อ 16 ปีที่แล้วต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และนำเสนอผลการศึกษาเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้ซื้อบ้าน ผู้ประกอบการพัฒนาที่ดิน สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน
          ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวว่า จำนวนตัวเลขบ้านรอขายดังกล่าวนี้ แม้มีจำนวนนับแสน แต่ก็ไม่น่าวิตกมากนัก บ้านเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นบ้านที่ขายไม่ออกเสียทั้งหมด แต่ ณ วันที่คณะนักวิจัยออกสำรวจ ยังเหลือขายอยู่ในตลาด หรือกำลังรอผู้ซื้ออยู่ บางโครงการก็เพิ่งเปิดตัวใหม่ จึงยังไม่อาจขายหมดในเวลาอันสั้น บ้านเหล่านี้บางส่วนยังไม่ได้สร้าง บางส่วนกำลังก่อสร้างและมีเพียงส่วนน้อยที่สร้างเสร็จแล้ว รอผุ้ซื้ออยู่
          ที่ ดร.โสภณ พรโชคชัย กล่าวว่า บ้านจำนวนดังกล่าวนี้ยังไม่น่าวิตกก็เพราะ หากเทียบกับจำนวนบ้านที่สร้างเสร็จแล้วทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีอยู่ 4.3 ล้านหน่วยนั้น ถือว่าเป็นเพียง 2.5% เท่านั้น ทั้งนี้หากเทียบในปี 2540-2542 จำนวนบ้านรอขายมีทั้งหมด 150,000 หน่วย ในขณะที่บ้านสร้างเสร็จทั้งหมดในขณะนั้นมีเพียง 3.1 ล้านหน่วย ซึ่งเท่ากับว่าบ้านรอขายมีสัดส่วนสูงถึง 5% ดังนั้นในปัจจุบันที่บ้านรอขายมีสัดส่วนเพียง 2.5% หรือครึ่งหนึ่งของสถิติเดิม จึงนับว่าไม่น่าห่วงมากนัก
          บ้านรอขายจำนวน 110,666 หน่วยนี้ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้แยกออกเป็นทาวน์เฮาส์ 36,352 หน่วย หรือ 33% เป็นบ้านเดี่ยว 35,187 หน่วย หรือ 32% และเป็นอาคารชุดเพียง 27,209 หน่วย หรือ 25% นอกนั้นที่เป็นบ้านแฝด ตึกแถว หรือที่ดินจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัยมีเพียงส่วนน้อยมาก
          ดร.โสภณ พรโชคชัย กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ยังได้แยกแยะเพิ่มเติมให้เห็นว่า กลุ่มที่มีเหลือมากที่สุดก็คือ ทาวน์เฮาส์ราคาประมาณ 1-2 ล้านบาท ซึ่งมีถึง 18,886 หน่วย รองลงมาคือบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านบาท 13,798 หน่วย และทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกินล้านอีก 10,563 หน่วย นอกจากนี้ยังมีการแยกแยะออกตามทำเลอีก 78 ทำเลในเขตกรุงเทพมหานครเพื่อวิเคราะห์ว่าในทำเลใดที่อยู่ในขั้นวิกฤติ และทำเลใดไม่มีปัญหา
          เมื่อพิจารณาถึงอัตราการขายต่อเดือนของหน่วยขายประเภทต่าง ๆ แล้ว ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า ในทางทฤษฎีตามอัตราการขายข้างต้น อาคารชุดจะใช้เวลาอีก 11 เดือนก็จะขายสินค้าที่เหลือออกได้หมด หากไม่มีสินค้าใหม่เข้ามาทดแทน (ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้) ส่วนทาวน์เฮาส์อาจใช้เวลาเกือบ 2 ปี คือ 23 เดือน ส่วนที่ใช้เวลานานเป็นพิเศษก็คือ บ้านเดี่ยว ซึ่งจะใช้เวลาถึง 36 เดือน
          ดร.โสภณ พรโชคชัย กล่าวว่า ในรายละเอียดยังพบว่า กลุ่มบ้านเดี่ยวที่ต้องระวังเป็นพิเศษก็คือ บ้านเดี่ยวในระดับราคา 3-5 ล้านบาท เพราะต้องใช้เวลาขายในทางทฤษฎีอีก 49 เดือน ส่วนอาคารชุดราคา 1-2 ล้านบาทนั้น จะยังมีสินค้าให้ขายอีกเพียง 6 เดือน หากไม่มีการสร้างใหม่เลย ส่วนทาวน์เฮาส์ระดับราคา 5-10 ล้านบาท จะใช้เวลาขาย 12 เดือน ส่วนราคา 10-20 ล้านบาท ซึ่งคงเป็นลักษณะคล้ายโฮมออฟฟิศ สามารถขายได้ดี โดยคาดว่าจะหมดใน 7 เดือนเท่านั้น
          โดยสรุปแล้ว ตัวเลขบ้านที่รอขายนับแสนหน่วยนั้น ไม่มีอะไรน่าตกใจ ไม่ได้แสดงว่าธุรกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัยขาย กำลังจะมีปัญหาแต่อย่างใด ทั้งนี้ยกเว้นเฉพาะที่อยู่อาศัยบางประเภทที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น บ้านเดี่ยวที่อยู่ห่างไกลระบบสาธารณูปโภตและการระบบการคมนาคม ดร.โสภณ กล่าวในที่สุด

ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ในฐานะศูนย์ข้อมูล-วิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินที่มีฐานข้อมูลภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุด ได้รับ ISO 9001-2008 ทั้งระบบแห่งแรกในฐานะที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ได้รับรางวัลจรรยาบรรณดีเด่น และเป็นสมาชิก UN Global Compact อีกด้วย