ภาษิตฝรั่งมีว่า "คนที่ตายอย่างร่ำรวย ตายอย่างไร้ศักดิ์ศรี" (the man who dies thus rich dies disgraced) หรือน่าละอาย นี่คือคำกล่าวของอภิมหาเศรษฐีอเมริกันนายแอนดรูว์ คาร์เนกี ผู้ที่บริจาคทรัพย์เกือบทั้งหมดให้การกุศลก่อนตาย เหลือไว้ให้ทายาทบางส่วน ซึ่งต่างจากแนวคิดแบบไทยๆ ที่อยากตายโดยมีมรดกเหลือให้ลูกหลานมากๆ โดยไม่เคยคิดที่จะ "เฉือนเนื้อ" เสียสละเพื่อส่วนรวมแต่อย่างใด
ภาษีมรดกที่ผิดเพี้ยน
ด้วยเหตุนี้ไทยเราจึงมีภาษีมรดกที่ผิดเพี้ยน กลายเป็นภาษีที่เก็บจากกองมรดกหลังมรณกรรม โดยเก็บในอัตรา 10% ของมูลค่ามรดกในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท แต่ถ้าผู้ได้รับมรดกเป็นบุพการี หรือผู้สืบสันดานให้เสียภาษีในอัตรา 5% ของมูลค่ามรดกในส่วนที่ต้องเสียภาษี (พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558: bit.ly/1MjbYAl) แต่ถ้ายังไม่ตาย ก็ค่อย ๆ ผ่องถ่ายให้ทายาทปีละ 20 ล้าน ก็ไม่ต้องเสียภาษี (สบายไป) (bit.ly/1jL1NqB)
อาจกล่าวได้ว่าการออกกฎหมายภาษีมรดกนี้แทบไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ แก่ส่วนรวม ภาษีมรดกควรมีไว้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียม เหมือนหญ้าในสนาม ก็ควรตัดให้เท่า ๆ กันเพื่อความเสมอหน้า ไม่เกิดผุ้มีอิทธิพล แต่พระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้มีผลใด ๆ เพราะสามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย จำนวนเงินรวมสูงเกินไป อัตราภาษีที่จัดเก็บก็ต่ำเกินไป นี่เองจึงกล่าวได้ว่า "ชนชั้นใดออกกฎหมาย ก็เพื่อชนชั้นนั้น"
เรามาลองดูในประเทศที่เจริญ ๆ กันหน่อยนะครับ
1. ในญี่ปุ่น กำหนดให้ผู้มีมรดกไม่เกิน 10 ล้านเยน (3 ล้านบาท) ต้องเสียภาษีมรดก ต้องเสียภาษี 10% ไปจนถึงอัตราสูงสุดคือ 50% (goo.gl/QjyNfR)
2. ในอังกฤษ ผู้ที่มีมรดกตั้งแต่ 350,000 ปอนด์ (18.15 ล้านบาท) ต้องเสียภาษีมรดก โดยเสียสูงถึง 40% ของมูลค่า (goo.gl/4q43Fx)
3. ในสหรัฐอเมริกา ราคาขั้นต่ำของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมรดกเป็นเงิน 5.34 ล้านดอลลาร์ หรือ 172.319 ล้านบาทในปี 2557 ส่วนในระดับมลรัฐ ผศ.กานดา นาคน้อยได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าภาษีมรดกเก็บกับทรัพย์สินที่มีค่าตั้งแต่ 2 ล้านดอลลาร์ (64.5 ล้านบาท) ขึ้นไปโดยเก็บในอัตราสูงสุด 20% (bit.ly/1JC2f4n)
เราจึงควรแก้ไขภาษีมรดกนี้ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการให้ในระหว่างมีชีวิต ก็ต้องเสียภาษีในอัตราสูงแบบขั้นบันได จึงจะลดความเหลื่อมล้ำได้ การที่ไทยยังสามารถออกกฎหมายแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าเรายังมีคนรวยสุดๆ ที่มีอิทธิพลทางการเมือง ยังมีผู้ยิ่งใหญ่ที่คอยแสดงฤทธิเดช ฟาดงวง ฟาดงา ในฐานะอภิสิทธิชนในสังคมไทย
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ควรมี
เรามาเรียนรู้ประสบการณ์ในทวีปอเมริกาเหนือกันหน่อยนะครับ
1. เมืองนอร์ฟอล์ค มลรัฐแมสซาชูเซ็ตต์ที่มีบ้านเพียง 2,895 หน่วย เมืองนี้เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ 520 ล้านบาท คิดเป็น 55% ของงบประมาณทั้งปี อัตราภาษี 1.193% ของราคาตลาด แต่ราคาบ้านเพิ่มขึ้นถึง 13% ในบางปี แต่เฉลี่ยแล้วราคาขึ้นมากกว่าภาษีที่เก็บไป (goo.gl/G9k9wb)
2. นครแองเคอะริจ มลรัฐอลาสก้า มีแปลงที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย 94,000 แปลง รวมมูลค่าของที่อยู่อาศัยได้ประมาณ 880,000 ล้านบาท หรือตกเป็นเงินแปลงละ 9.362 ล้านบาท ในเมืองนี้อัตราภาษีคือ 1.6% แสดงว่าภาษีที่จะได้จากทรัพย์สินคือ 14,080 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับ 68% ของงบประมาณของเทศบาล (goo.gl/2mj41J)
3. นครแคลการี แคนาดา มีขนาด 730 ตร.กม. ทรัพย์สิน รวมมูลค่า 8 ล้านล้านบาท ภาษีที่เก็บได้เป็นเงินประมาณ 45,000 ล้านบาท หรือเป็นการเสียภาษีเฉลี่ยประมาณ 0.56% โดยในรายละเอียดนั้นที่อยู่อาศัยเสียภาษีปีละประมาณ 0.4% ของมูลค่าตลาด ส่วนอสังหาริมทรัพย์อื่น เสียภาษีในอัตรา 1.1% (goo.gl/oZStH0)
4. นครลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด 32.67 ล้านล้านบาท จัดเก็บภาษี 1% ของมูลค่าที่ประเมินได้ หรือ 326,700 ล้านบาท สำหรับงบประมาณของสำนักงานประเมินค่าทรัพย์สิน เป็นเงินปีละ 5,250 ล้านบาท หรือแสดงว่าต้นทุนที่ใช้ในการจัดเก็บภาษีเป็นประมาณ 1.6% ของภาษีที่จัดเก็บได้ (goo.gl/MhJJCB)
5. นครนิวยอร์ก มลรัฐนิวยอร์ก นครนี้มีประชากรถึง 8.3 ล้านคน บนพื้นที่ 784 ตร.กม. อสังหาริมทรัพย์ในนครแห่งนี้มีทั้งหมด 1,079,183 ชิ้น มูลค่าทรัพย์สินที่ประเมินได้ทั้งหมดเป็น 24.4 ล้านล้านบาท เก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ได้สูงสุดถึง 40% ของภาษีทั้งหมด รองลงมากลับเป็นห้องชุดและอะพาร์ตเมนต์ให้เช่าซึ่งจัดเก็บภาษีได้ถึง 38% ที่อยู่อาศัยที่ใช้เองทั่วไป 15% และสาธารณูปโภคที่เก็บภาษีได้ 7% (goo.gl/x4kjWm)
มูลค่าภาษีที่ควรเก็บได้ในไทย
ตามสถิติที่เคยเก็บได้ (bit.ly/23nOG0k) กรุงเทพมหานครมีขนาด 1,568.7 ตารางกิโลเมตร มีที่ว่างเปล่าไม่ได้ใช้ประโยชน์ถึง 378.974 ตารางกิโลเมตร (24% ไม่รวมที่ราชการ ที่อยู่อาศัย และที่เกษตรกรรม) หรือประมาณ 94,743,500 ตารางวา หากราคาที่ดินเฉลี่ยตารางวาละ 10,000 บาท ก็ตกเป็นเงินถึง 947,435 ล้านบาท หากเก็บภาษีที่ดินว่างเปล่า 2% ก็จะได้เงินภาษีถึง 18,948.7 ล้านบาทต่อปีทีเดียว
สำหรับที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร มีอยู่ 2,773,975 หน่วย (bit.ly/25OKKIj) หากบ้านที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยมีอยู่ราว 10% ก็จะเป็นบ้านว่างอยู่ถึง 277,398 หน่วย แต่ละหน่วยมีราคาเฉลี่ย 2 ล้านบาท ก็เป็นเงิน 554,795 ล้านบาท หากเก็บภาษีในฐานะที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ณ อัตราภาษี 1% ก็จะได้ภาษีอีก 5,548 ล้านบาท ที่อยู่อาศัยที่เหลืออีก 90% ที่มีผู้อยู่อาศัย จำนวน 2,496,577 หน่วย หากมีราคา 2 ล้านบาทเช่นกัน ก็จะมีมูลค่าถึง 4,993,155 ล้านบาท หากเก็บภาษีเพียง 0.1% ก็จะได้ภาษีอีก 4,993 ล้านบาท มาพัฒนาประเทศได้เช่นกัน
การเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้เป็นคุณต่อประเทศชาติและผู้เสียภาษีเองโดยตรง ภาษีมรดกก็จะทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน ส่วนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ก็ช่วยสร้างประชาธิปไตย เพราะเป็นภาษีที่ใช้ในท้องถิ่น ทุกวันนี้เราเสียภาษีเข้าส่วนกลาง แล้วส่วนกลางส่งไปให้ส่วนท้องถิ่น ทำให้เกิดผลประโยชน์ต่างตอบแทน ทำให้เกิดอาการ "วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง" แต่ภาษีที่ดินจะทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของภาษี จะปล่อยให้เกิดการโกงง่าย ๆ คงไม่ยอม จึงได้ช่วยกันตรวจสอบ
แรกๆ อาจเจอไข้โป้งจากผู้มีอิทธิพลบ้าง แต่ในระยะยาว ก็จะทำให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ไม่ขึ้นกับส่วนกลาง เป็นการสร้างประชาธิปไตยขั้นรากฐานตามปณิธานของรัฐบาล (หรือเปล่า?!?)
หนังสือรวมเรียงความชิงโล่สมเด็จพระเทพฯ เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง download ได้ฟรีที่ bit.ly/1fTo7vP