ทีมเศรษฐกิจของ ดร.สมคิด ไม่ควรงดเก็บภาษีบ้านหลังแรก ต่อไปทุกคนก็คงอ้างว่าเป็นบ้านหลังแรก เลี่ยงภาษีกันใหญ่ และราคา 50 ล้านบาทขึ้นไปนั้นคงมีเพียง 4,000 หลังทั่วประเทศ ไม่คุ้มที่จะเก็บ การเก็บภาษีได้น้อยนี้ ต่อไปทีมเศรษฐกิจอาจหาเรื่องขึ้นภาษี VAT อย่างแน่นอน
ทีมเศรษฐกิจของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กำหนดไว้ว่า ต่อ "บ้านพักอาศัยหลังหลัก เพื่อ. . .เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีบ้านอยู่อาศัยเป็นของตนเอง" จึงกำหนดอัตราภาษีคือ มูลค่าทรัพย์สินไม่เกิน 50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้น เกิน 50-100 ล้าน เก็บ 0.05% และ 100 ล้านบาทขึ้นไป เก็บ 0.1% (http://bit.ly/2aalglH) ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) เห็นว่าไม่ควรมีการลดหย่อนบ้านหลังแรกเพราะการที่สามารถซื้อบ้านได้ ย่อมสามารถเสียภาษีเล็ก ๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้
ประชาชนจำนวนมากยังไม่เข้าใจภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และไม่ว่าภาษีอะไร หลายคนก็อาจส่ายหัวไว้ก่อน เพราะไม่มีใครอยากจะเสีย เพราะคิดว่าจะเป็นการสูญเปล่า และยังอาจถูกนำไปใช้อย่างทุจริตอีกต่างหาก แต่ผมขอยืนยันว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ ดีจริง ๆ มีแต่ได้กับได้ เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่เป็นโทษแก่ใครเลย
ภาษีนี้เก็บมาเพื่อใช้พัฒนาท้องถิ่นโดยตรง โดยอาจนำมาใช้พัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ฯลฯ ยิ่งเก็บภาษีได้มากเท่าไหร่ ท้องถิ่นยิ่งเจริญ ทำให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น พอท้องถิ่นนั้นเจริญ มูลค่าทรัพย์สินก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เจ้าของที่ดินก็ได้ประโยชน์ เข้าทำนอง “ยิ่งให้ ยิ่งได้” และเมื่อมีภาษีนี้แล้ว ภาษีซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรมก็จะได้รับการยกเลิก คือ ภาษีโรงเรือนซึ่งจัดเก็บ ณ อัตรา 12.5% ของค่าเช่า และภาษีบำรุงท้องที่ซึ่งจัดเก็บจากฐานราคาปานกลางของที่ดินปี 2521-2524 (ไม่เคยปรับปรุงให้ท้นสมัยอีกเลยนับแต่นั้นมา)
ภาระภาษีนี้ก็แสนจะต่ำ ไม่ควรมีข้อยกเว้น เช่น คน ๆ หนึ่งมีบ้านราคา 1 ล้านบาท เสียภาษี 0.1% หรือปีละเพียง 1,000 บาท แต่เมื่อท้องถิ่นได้รับการพัฒนา ราคาบ้านก็สามารถเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 3% ต่อปี หรือปีละ 30,000 บาท บางคนอาจมีห้องชุดราคาเพียง 300,000 บาท ต้องเสียภาษี 0.1% หรือปีละ 300 บาท (น้อยกว่าเงินทำสังฆทานเสียอีก) เราจึงควรรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันเสียภาษีนี้
ประชาชนไม่พึงหลงกับการยกเว้นภาษีใด ๆ เพราะการยกเว้น จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจ และอาจทำให้เกิดกรทุจริตได้ ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านหลังหนึ่งมีราคา 500,000 บาท หากเสียภาษี 0.1% ก็เป็นเงินเพียง 500 บาทต่อปี หรือเดือนละ 42 บาท ถูกกว่าค่าจัดเก็บขยะเสียอีก ในแต่ละปีแม้แต่รถจักรยานยนต์คันละ 10,000 บาท ก็ยังต้องเสียภาษีคันละ 100 บาท หรือ 1% แล้ว
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างส่งเสริมประชาธิปไตยจริงๆ เป็นเงินภาษีที่จัดเก็บและใช้ภายในท้องถิ่น ไม่ผ่านรัฐบาลส่วนกลาง และโดยที่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เก็บได้ จะถูกนำไปใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นเท่านั้น ประชาชนจึงรู้สึกเป็นเจ้าของภาษี เมื่อประชาชนในท้องถิ่นเห็นศักยภาพของตนเองในการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อตนเองจากภาษีของตน คนดี ๆ ซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาในท้องถิ่นก็จะอาสามาทำงานเพื่อส่วนรวมในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมารัฐบาลจัดเก็บภาษีในท้องถิ่นได้เพียง 10% ที่เหลือเป็นเงินช่วยเหลือจากส่วนกลาง ประการหนึ่ง ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโกงได้เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เงินของตนเอง จึงเกิดอาการ "วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง" และอีกประการหนึ่งทำให้ส่วนกลางสามารถควบคุมส่วนท้องถิ่นได้ ทำให้ไม่เป็นประชาธิปไตย อันตรายของการไม่มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็คือ รัฐบาลก็อาจหาทางจัดเก็บภาษีทางด้านอื่นโดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเมื่อเก็บแล้วก็เข้าสู่ส่วนกลางทั้งที่ผู้ซื้อสินค้าอยู่ในท้องถิ่นทั้งหลายเอง
เราควรเน้นเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพิ่มทรัพยากรให้ท้องถิ่น ไม่ควรเก็บภาษี VAT เพราะจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนไปทั่วจากการเก็บภาษีนี้