ดร.โสภณ เคย "กระซวก" ไปหลายทีเรื่องผังเมืองหมดอายุ ทางราชการก็รับฟัง ดร.โสภณ ด้วยดี จึงแก้ไขปัญหาผังเมืองหมดอายุ ด้วยการออกกฎหมายใหม่ว่าต่อไปนี้ผังเมืองไม่มีการหมดอายุ (ฮา)
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) กล่าวว่า ตั้งแต่มีกฎหมายผังเมืองฉบับแรกเมื่อปี 2495 หรือ 64 ปีก่อนหน้านี้ ประเทศไทยมีผังเมืองเกิดขึ้น 259 ผัง หรือเฉลี่ยเกิดขึ้นประมาณ 4 ผังเท่านั้นเอง การผังเมืองของไทยค่อนข้างอ่อนแอ อาจเป็นเพราะติด "ตอ" เจ้าของที่ดินที่มีอำนาจทางการเมือง เช่น นักการเมือง ข้าราชการประจำรายใหญ่ ผู้มีอำนาจเหนือกว่านักการเมือง ผู้มีอิทธิพล ฯลฯ หรือไม่
ที่สำคัญผังเมืองที่ประกาศใช้แล้วนั้น หมดอายุไปถึง 32% หรือหนึ่งในสาม โดยบางผัง หมดอายุไป 13 ปีแล้วก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ที่หมดอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปแล้วมี 7 ผัง ที่หมดอายุเกิน 5 ปีมีถึง 43 ผัง เป็นที่ทราบกันดีว่าการจัดทำผังเมือง เป็นไปด้วยความล่าช้า และมักมีเสียงบ่นเป็นประจำว่า วางผังได้ไม่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน เป็นการวางผังเมืองแบบ "Top-Down" หรือบนลงล่าง ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ตัวอย่างที่ชัดเจนของการไม่มีส่วนร่วมก็คือ กรณีคำสั่งศาลให้รื้อโรงแรมดิเอทัส (http://bit.ly/1PsV5mn) ที่ก่อสร้างในซอยร่วมฤดี ที่มีความของถนนไม่ถึง 10 เมตร กรณีนี้ยังสะท้อนถึงการผังเมืองที่ขาดประสิทธิภาพ ท้องที่ซอยร่วมฤดีหรือตลอดแนวถนนสุขุมวิท และถนนพหลโยธินช่วงต้น อาจถือเป็น “บีเวอรี่ฮิลล์” (แหล่งที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้สูง) ของประเทศไทยเมื่อเกือบ 60 ปีที่ผ่านมา หากการผังเมืองมีความเข้มแข็งย่อมพึงสงวนพื้นที่เหล่านี้ให้อยู่ในสภาพเดิม โดยไม่อนุญาตให้มีการก่อสร้างอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ แต่ที่ผ่านมากลับมีการก่อสร้างเกิดขึ้นมากมาย สร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้แก่ผู้อยู่อาศัยในท้องที่เหล่านี้จนถึงขั้นฟ้องร้องเช่นในกรณีนี้
อย่างไรก็ตามโดยที่มีการก่อสร้างอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบันจนกลายเป็นบรรทัดฐานไปแล้ว การจะพยายามจำกัดเช่นการร่างผังเมืองฉบับใหม่ ย่อมกลับกลายเป็นรอนสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินรายอื่น ๆ และทำให้โอกาสในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในเมืองมีความจำกัดลง หรือมีราคาสูงขึ้น ส่งผลเสียต่อประชาชนในอีกแง่หนึ่ง ทำให้เมืองต้องแผ่ออกไปสู่รอบนอก ทำลายพื้นที่เกษตรกรรม และทำให้สาธารณูปโภคต้องขยายออกไปไม่สิ้นสุด นี่จึงเป็นปัญหาการผังเมืองที่ขาดประสิทธิภาพ
ดร.โสภณ เคยเรื่อง "ผังเมืองหมดอายุ: อนาธิปไตยในการใช้ที่ดิน" ตั้งแต่ปี 1 กุมภาพันธ์ 2554 http://bit.ly/1VYZoVx) เรื่อยมา จนในที่สุดได้มีการประกาศเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 9 กันยายน 2558 ว่าผังเมืองที่มีกำหนดหมดอายุหลังวันดังกล่าว ไม่มีวันหมดอายุอีกต่อไป การแก้ไขก็คงเป็นไปตาม "อัธยาศัย" ของทางราชการ (โดยไม่ต้องรีบร้อนตามกรอบเวลา)!?!
ผังเมืองที่มีมาในประวัติศาสตร์ 259 ผัง | |||||
1. ผังเมืองที่หมดอายุแล้ว 82 ผัง (32%) | |||||
จำนวนปีที่หมดอายุ | จำนวนผัง | % | |||
ปี 2546 | 13 | ปี | 1 | ผัง | 0% |
ปี 2547 | 12 | ปี | 2 | ผัง | 1% |
ปี 2548 | 11 | ปี | 2 | ผัง | 1% |
ปี 2549 | 10 | ปี | 2 | ผัง | 1% |
ปี 2550 | 9 | ปี | 6 | ผัง | 2% |
ปี 2551 | 8 | ปี | 7 | ผัง | 3% |
ปี 2552 | 7 | ปี | 14 | ผัง | 5% |
ปี 2553 | 6 | ปี | 9 | ผัง | 3% |
ปี 2554 | 5 | ปี | 7 | ผัง | 3% |
ปี 2555 | 4 | ปี | 11 | ผัง | 4% |
ปี 2556 | 3 | ปี | 10 | ผัง | 4% |
ปี 2557 | 2 | ปี | 11 | ผัง | 4% |
2. ผังเมืองที่ไม่มีวันหมดอายุ 177 ผัง (68%) | |||||
แต่ถ้ามีหมดอายุ (ล้าสมัย) จะหมดในปี | |||||
ปี 2559 | 31 | ผัง | 12% | ||
ปี 2560 | 42 | ผัง | 16% | ||
ปี 2561 | 28 | ผัง | 11% | ||
ปี 2562 | 5 | ผัง | 2% | ||
ปี 2563 | 67 | ผัง | 26% | ||
ปี 2564 | 4 | ผัง | 2% | ||
รวบรวมโดย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กรกฎาคม 2559 |
อย่างไรก็ตามหากมีการหมดอายุ ผังเมืองอีก 31 ผัง หรือ 12% จะหมดอายุในปี 2559 อีก 42 ผังหรือ 16% จะหมดอายุในปี 2560 การแก้ปัญหาด้วยการไม่ต้องให้หมดอายุ จึงไม่แน่ใจว่าจะใช่แนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ การวางผังที่มีข้อบกพร่องมาหลายปี ที่ควรจะรีบแก้ไข ก็คงไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ได้รับการเยียวยาตามเวลาที่สมควรหรือไม่ ประชาชนและเมืองต่าง ๆ จะเสียประโยชน์จากความล้าหลังของการผังเมืองไทยหรือไม่
แนวทางที่สำคัญหนึ่งของการผังเมืองก็คือ ควรให้ประชาชนในท้องถิ่นเป็นผู้วางผัง ไม่ใช่ให้รัฐจากส่วนกลาง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปวางให้เป็นองค์รวม โดยขาดการรับฟังและปฏิบัติตามความเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง หน่วยราชการส่วนกลางหรือ อปท. จะวางแผนก็ควรวางแผนในกรณีผังล่วงหน้า เช่น การสร้างเมืองบริวาร หรือการพัฒนาศูนย์ธุรกิจใจกลางเมือง เป็นต้น