ในระหว่างวันที่ 7-10 สิงหาคม 2559 ผมได้เดินทางไปที่นครอาเจะห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดอาเจะห์ บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เกาะดังกล่าวนี้เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของโลก รองจากเกาะกรีนแลนด์และเกาะบอร์เนียว ผมเดินทางไปสำรวจการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินตั้งแต่ก่อนเกิดสึนามิจนถึงหลังสึนะมิ 12 ปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง งานนี้ถือได้ว่าเป็นการศึกษาร่วมกันระหว่างสมาคมอสังหาริมทรัพย์อินโดนีเซียสาขาอาเจ๊ะห์ กับ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th)
หลายท่านยังคงจำได้ว่ามาหาพิบัติภัยสึนามิเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 26 ธันวาคม 2547 คร่าชีวิตประชาชนไป 200,000 กว่าคนโดยเฉพาะที่อาเจะห์มากถึงเกือบ 200,000 คน เหตุการณ์นี้ทำให้บ้านเรือนอาคารเสียหายเกือบทั้งหมดจึงน่าจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการศึกษานี้จึงได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการศึกษาประมวลผลการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดิน
การศึกษาได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาคือการสัมภาษณ์เชิงลึกกับประชาชนในท้องถิ่นที่พบเห็นพิบัติภัยนี้และเป็นเจ้าของทรัพย์สินในพื้นที่เพื่อประมวลถึงตัวเลขการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในแต่ละบริเวณที่ทำการศึกษาในนครอาเจะห์แห่งนี้ หลังจากศึกษาก็จะได้ประมวลผลนำเสนอให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบของสึนามิที่ได้เกิดขึ้น การศึกษานี้จะได้เปิดเผยในรายละเอียดต่อไปเพราะขณะนี้เพิ่งจบการสำรวจในวันนี้
ผมเดินทางไปอาเจะห์หลังใช้สิทธิลงประชามติเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2559 ไม่มีเครื่องบินบินตรงไปอาเจะห์ ผมเลยไปต่อเครื่องที่กรุงกัวลาลัมเปอร์โดยเดินทางไปถึงประมาณเที่ยงคืน แล้วเข้าไปนั่งงีบในเลาจน์ อาบน้ำ ทานอาหารเช้าแล้วมาต่อเครื่องบินถึงอาเจะห์เวลาประมาณ 09:00 น. ผมไม่ใช่ข้าราชการและแม้ผมเป็นเจ้าของกิจการแต่ผมก็นั่งเครื่องบินชั้นประหยัดแอร์เอเซียและประหยัดเวลาด้วยกันไปนั่งงีบข้ามคืนในเลาจน์แทนการเดินทางแบบที่ตัวเองสะดวกและสิ้นเปลืองเงินมากกว่า จริงๆ แล้วผมไม่เห็นด้วยกับการที่พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้นั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจหรือชั้นหนึ่งด้วยภาษีอากรของประชาชนควรนั่งเหมือนประชาชนแต่ถ้าใครอยากจะนั่งดีดีก็ควรจะออกเงินส่วนต่างเองน่าจะดีกว่า
ผมไปถึงก็เข้าพักโรงแรมแบบราคาปกติคืนละประมาณ 1,000 บาท ด้วยเหตุเพราะผมต้องจ่ายเงินเองและถึงแม้จะเป็นเงินของบริษัทที่ผมสามารถนำไปหักภาษีค่าใช้จ่ายได้ แต่ผมก็มักชอบที่จะนอนโรงแรมถูกแต่ปลอดภัยเพื่อไม่เป็นการใช้จ่ายสิ้นเปลืองจนเกินไป นี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ผมอยากให้พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นอนโรงแรมปกติเว้นแต่อยากออกเงินเองไปนอนโรงแรมหรู เพราะเงินเหล่านั้นมาจากภาษีอากรของประชาชนที่ควรใช้อย่างประหยัด ใช่ว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แล้วจะต้องได้รับลาภยศสักการะ เป็นเจ้าคนนายคน แทนที่จะรู้จักมีสำนึกรับใช้ประชาชน
โรงแรมที่ผมนอนนั้นเป็นโรงพยาบาลเก่าที่ตกแต่งใหม่ ปกติโรงพยาบาลก็มักมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่โรงพยาบาลแห่งนี้พิเศษสุดตรงที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุพิบัติภัยสึนามิหลายร้อยคนอยู่ตามห้องหับต่างๆ ทางเดินของโรงแรมแห่งนี้ เรียกได้ว่าทุกซอกทุกมุมเลยทีเดียว แต่ผมไม่กลัวหรอกครับผมเชื่อว่าผีไม่มีจริงและอันที่จริงในทุกพื้นที่ของนครนี้ก็มีผู้เสียชีวิตรวมแล้วเกือบ 200,000 คน บางตำบลมี 5,000 คน เสียชีวิตเหลือ 400 คนเป็นต้น ผมนอนอยู่โรงแรมแห่งนี้สองคืนก็ไม่มีสิ่งลึกลับ ผิดปกติใดๆ เหมือนในนิยาย และได้รับบริการที่ดีและคุ้มค่ามาก
ผมออกสำรวจเองโดยว่าจ้างล่ามพร้อมรถไปสัมภาษณ์เชิงลึกกับประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ นับสิบๆ แห่งตลอด 2 วันเต็ม โดยเฉพาะวันที่ 2 ที่ไปถึง เริ่มกันแต่ 07:00 น. ถึง 19:00 น. บางคนอาจคิดว่าคนที่แก่แล้วอย่างผมควรนั่งบริหารหรือทำอะไรที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงแบบนี้ แต่ความจริงผมชอบการทำงานภาคสนาม ไม่อยากยืมจมูกคนอื่นหายใจ และเราควรที่จะเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงบ้างจะได้ไม่ "ไม่ติดดิน" ยิ่งงานนี้เป็นงานวิชาการไม่ให้ได้เงินค่าจ้าง ผมจึงยิ่งอยากจะดำเนินการเอง
สำหรับอาหารการกิน ผมก็ชอบแบบบ้านๆ ไม่เน้นความหรูเลิศหรือมีราคาแพง แต่บังเอิญครั้งนี้ล่ามของผมเป็นวิศวกรอาวุโส อายุมากกว่าผมเสียอีก ขืนผมจะพาเขาไปทานก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวแกงข้างทางก็คงจะไม่เหมาะกับฐานะของเขา เดี๋ยวจะพาลหมดกำลังใจทำงานเสียก่อน การให้กำลังใจคนที่มาทำงานกะเราจึงเป็นสิ่งจำเป็น ผมก็เลยไปทานร้านอาหารที่ดูดีสักหน่อย แต่ก็ราคาย่อมเยาหัวละไม่เกิน 150 บาทเท่านั้นเอง
ขากลับถึงกรุงเทพมหานคร ผมก็มักนั่งแท็กซี่กลับเป็นประจำ ไม่ได้มีรถรับส่งแบบพวกข้าราชการที่ดูเป็นเจ้าคนนายคนมากกว่าผู้รับใช้ประชาชน (จริงๆ ก็เป็นเจ้าคนนายคนไม่เคยคิดรับใช้ประชาชนหรอก) บางครั้งผมก็นั่งรถประจำทางกลับหรือต่อรถไฟฟ้ากลับ ไม่ได้นั่งแท็กซี่ด้วยซ้ำไป ทั้งนี้คงเป็นในกรณีที่พอมีเวลา จึงถือว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยาบ้างเผื่อจะได้ไม่เป็น "วัวลืมตีน"
ใช้ชีวิตปกติที่มีความยากลำบากบ้างจะได้ไม่ลืมความเป็นคน
ไปสามวัน ข้าวของมีเท่านี้ครับ