AREA แถลงฉบับนี้นำเสนอข้อเขียนส่วนตัวของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) เกี่ยวกับการเดินทางไปประชุมณนครแทมปา มลรัฐฟอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา
เชิญครับ มาฟังเรื่องเล่าสนุกๆ ดูผมนั่งเครื่องบินมาราธอนไปสหรัฐอเมริกา กินอยู่อย่างง่ายๆ และประหยัด-พอเพียงโดยไม่ยี่หระใดๆ
ในระหว่าง วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม - วันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2559 ผมมาประชุมการประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติที่นครแทมปา มลรัฐฟอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ผมได้มีเรื่องเล่าเบาๆ มาให้ท่านได้ฟังเล่นๆ ครับ
ผมใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 31 ชั่วโมง ขึ้นเครื่องจากกรุงเทพไปดูไบก็ 6 ชั่วโมงรออีก 3 ชั่วโมงบินต่ออีก 16 ชั่วโมงถึงนครบอสตันรออีก 3 ชั่วโมงแล้วขึ้นเครื่องต่อมายังนครแทมปาอีก 3 ชั่วโมง เรียกว่ารอนแรมกันน่าดูทีเดียว นี่ถ้ารวมเวลาเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิอีก 3 ชั่วโมงล่วงหน้าและต่อรถจากสนามบินนครแทมปาเข้าเมืองอีกร่วมชั่วโมงก็ปาเข้าไป 35 ชั่วโมงแล้ว นี่ก็เป็นการทดสอบร่างกายอย่างหนึ่งว่ายังพอเดินทางไกลไหวไหม บางปีผมมาสหรัฐอเมริกาถึง 4 รอบ แต่ปีนี้เพิ่งมาเพียงรอบเดียว
ผมอยากจะบอกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับข้าราชการที่เดินทางไปต่างประเทศ ถ้าระดับสูงขึ้นมาหน่อยก็มักได้นั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจในราคาที่แพงกว่าชั้นประหยัดราวสองเท่ากว่าถึงสามเท่า ผมว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ข้าราชการควรนั่งชั้นประหยัดเช่นเดียวกับประชาชน แต่ถ้าข้าราชการคนใดต้องการนั่งชั้นธุรกิจ ก็ควรออกเงินเพิ่มเอง รัฐบาลไม่ควรอำนวยความสะดวกในลักษณะเจ้าขุนมูลนายแบบนี้
ถ้าเกรงว่าการเดินทางไกลจะทำให้เหนื่อยล้าส่งผลต่อการปฏิบัติงานในวันรุ่งขึ้น ก็อาจอนุญาตให้ข้าราชการเดินทางมาล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อปรับตัวก่อน แทนที่จะให้นั่งเครื่องบินชั้นประหยัดซึ่งหลายคนก็ยังเหนื่อยล้าอยู่ดี จริงๆ แล้วทุกวันนี้ข้าราชการก็ได้สิทธิเดินทางมาล่วงหน้า บ้างก็ได้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาอยู่แล้ว แต่ก็ยังใช้จ่ายเงินนั่งชั้นธุรกิจซึ่งถือว่าไม่ได้เสียสละ ไม่ได้ประหยัด ไม่รู้จักพอเพียงเพื่อชาติเลย
ผมเดินทางมาด้วยกระเป๋าใบเล็กๆ เพียงใบเดียว และถุงอีกใบหนึ่ง ซึ่งข้างในใส่ของชำร่วยมาอภินันทนาการแก่สมาคมที่เชิญไปร่วมงานประชุมดังกล่าว ในกระเป๋าใบเล็กๆ ของผมนั้น ยังบรรจุคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง และสูทอีกหนึ่งตัว พร้อมเนคไทใส่ไว้อีกด้วย การที่ผมใช้กระเป๋าใบเล็กเพราะผมไม่ได้พาอุปกรณ์แต่งหน้าทาปากไปด้วย ผมบอกความลับได้ว่าผมพาเสื้อผ้าไปสองชุด ชุดหนึ่งใส่กับตัว อีกชุดหนึ่งอยู่ในกระเป๋า และซักทุกวันเนื่องจากอากาศค่อนข้างแห้งเร็ว ขากลับเสื้อผ้าก็ซักเสร็จกลับมาเรียบร้อย แต่ผมก็เข้าใจสำหรับผู้ที่พาเสื้อผ้าใหม่มาครบทุกวันโดยไม่ต้องซัก เนื่องจากอาจมีเวลาจำกัดจริงๆ
ผมไม่อายที่จะใส่เสื้อผ้าที่ดูซ้ำๆ ผมยังเชื่อว่าคงไม่มีใครใส่ใจในเรื่องนี้กับผมหรอกครับ หากผมเป็นคนหนุ่มสาว ก็อาจจะมีคนมองหรืออาจจะห่วงภาพพจน์ ติดอัตตา แต่สำหรับผมในวัยนี้ ผมไม่แคร์แล้ว อีกอย่างผมก็ใส่สูททับเอาไว้ บางทีก็ถอดสูทออกบ้าง ถอดเนคไทออกบ้าง ผู้คนก็คงจำไม่ได้ หรือไม่มาใส่ใจกันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามผมก็แต่งตัวถูกต้องตามกาลเทศะ เช่น ในยามที่ผมต้องขึ้นเวทีบรรยาย หรือในงานเลี้ยงอาหารค่ำ ผมก็แต่งตัว ใส่สูทผูกไทเรียบร้อย แต่ในยามเข้าฟังสัมมนา ก็ใส่เสื้อเชิ้ต อาจผูกไทหรือไม่ก็ได้
งานประชุมวิชาการประจำปีนี้จัดที่ศูนย์ประชุมนครแทมปา โรงแรมที่ใช้เป็นทางการก็คือโรงแรม Marriott สนนราคาเข้าพักคืนละ 6,000 กว่าบาท ผมเห็นว่าแพงเกินความจำเป็น ก็เลยเลือกโรงแรมที่ถูกลงมามากกว่าครึ่งหนึ่งแต่ต้องเดินประมาณ 2 กิโลเมตรจากที่ประชุม บางปีผมก็เลือกโรงแรมที่ห่างออกไป 4 กิโลเมตร สนนราคาเพียง 1,500 บาท แล้วเดินไปกลับเพื่อเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ถ้าไม่ใช่ในกรณีที่เจ้าภาพเชิญและออกค่าใช้จ่ายให้ ผมก็พักโรงแรมแบบนี้เสมอ ชีวิตความเป็นอยู่ในสหรัฐอเมริกาค่อนข้าง "slow life" เที่ยงวันบ้านเขา ก็เป็นเที่ยงคืนบ้านเรา จึงไม่มีอะไรเร่งด่วนจนเกินไปนัก และถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น
ผมทำอย่างนี้จึงสามารถประหยัดเงินได้นับหมื่นๆ บาทในการเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้ง นี่ถ้าผม ใช้เงินดั่งเบี้ยเช่นพวกที่ควร "รับใช้ประชาชน" หรือเจ้าของบริษัทอื่นๆ ผมคงใช้เงินเพื่อตัวผมไปไม่น้อย ในแง่หนึ่งอาจดูน่าขายหน้านักที่ผมทำธุรกิจมา 25 ปีแล้ว อายุก็ใกล้ 60 ปีแล้ว (แต่ใบหน้าอาจดูเกินด้วยซ้ำไป) ยังไม่มีรถเบนซ์ขี่เลยซักคัน แต่ด้วยที่ผมทำอย่างนี้นี่เอง จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ผมสามารถขึ้นเงินเดือนให้เพื่อนร่วมงานของผมปีละสองครั้ง และจ่ายโบนัสให้ทุกปีไม่เคยขาด แต่ผมก็ไม่ได้มองข้ามความจริงที่ว่าการที่ผมจัดสวัสดิการที่ดีให้เพื่อนร่วมงานได้นั้น ก็เพราะพวกเขาได้ทำงานหนักจนบริษัทมีกำไรพอสมควรนั่นเอง
นี่แหละครับคือเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ของผมที่ได้นิราศมานครแทมปา ไม่ใช่เรื่องพิสดาร เย้ยฟ้าท้าดินอะไร แต่ยืดอกเล่าให้ฟังได้โดยไม่มีอะไรละอายใจ