ในเดือนตุลาคม ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงมีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนนี้มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 45 โครงการ เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน จำนวน 5 โครงการ อีกทั้งยังมีจำนวนหน่วยขายและมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วย โดยลักษณะการพัฒนาเป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้ง 45 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายรวมทั้งหมด 15,397 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 59,056 ล้านบาท ทั้งนี้ที่เพิ่มมากเพราะเป็นช่วงไตรมาสที่ 4 ที่มักจะเปิดมาก แต่ปีนี้เชื่อว่าจะปลายแผ่วในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวว่าอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 15,397 หน่วย เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 7,431 หน่วย (เดือนกันยายน 2559 มีจำนวน 7,966 หน่วย) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 93% เนื่องจากมีการเปิดเพิ่มตัวโครงการอาคารชุดเข้าสู่ตลาดมากถึง 22 โครงการ ซึ่งพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เป็นสำคัญ จึงทำให้มีจำนวนหน่วยขาย และมูลค่าสูงขึ้น
ในเดือนนี้ประเภทที่มีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่มากที่สุดยังคงเป็นอาคารชุดเช่นเดือนที่ผ่านมา โดยมีจำนวนหน่วยเปิดขาย 11,260 หน่วย (73%) รองลงมาคือ บ้านเดี่ยว 1,085 หน่วย (7%) ส่วนอันดับ 3 คือ ทาวน์เฮ้าส์ 2,807 หน่วย (18%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด ซึ่งเมื่อเทียบจำนวนหน่วยขายกับเดือนที่ผ่านมา จะพบว่าจำนวนหน่วยขายของที่อยู่อาศัยหลัก ได้แก่ อาคารชุด ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว พบว่า อาคารชุดและทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนหน่วยขายเพิ่มขึ้น แต่บ้านเดี่ยวมีหน่วยขายลดลง โดยอาคารชุดเพิ่มขึ้น 8,410 หน่วย (295%) ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 1,125 หน่วย (67%) ส่วนบ้านเดี่ยวลดลง 1,008 หน่วย (หรือ -48%)
ดร.โสภณให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มูลค่าการพัฒนาสูงสุด คืออาคารชุด 45,825 ล้านบาท (77%) รองลงมาคือ บ้านเดี่ยว 6,165 ล้านบาท (10.4%) และ ทาวน์เฮ้าส์ 6,001 ล้านบาท (10.2%) ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดตามลำดับ ดังนั้นภาพรวมของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้ส่วนใหญ่หากเป็นอาคารชุดจะเน้นที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ราคา 1-3 ล้านบาท ส่วนบ้านเดี่ยวจะเน้นที่ราคา 5-10 ล้านบาท
ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 13 บริษัท คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้, เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน), บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน), บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน), บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน), บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน), บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทในเครือ และบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง หากเปรียบเทียบการพัฒนาระหว่างบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทในเครือ และบริษัททั่วไป
ดร.โสภณ ชี้ให้เห็นถึงเรื่องทำเลที่ตั้งว่า โครงการที่เปิดตัวใหม่ ตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นในจำนวน 11 โครงการ ชั้นกลางและส่วนต่อขยายของเมือง (intermediate area) จำนวน 26 โครงการ เช่น ถนนรามอินทรา ถนนรามคำแหง ถนนเทพารักษ์ ถนนพระราม 2 ถนนกาญจนภิเษก และบางกรวย-ไทรน้อย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอีก 8 โครงการที่อยู่ในพื้นที่รอบนอกซึ่งเป็นย่านชุมชนที่อยู่อาศัยในย่านนั้น เช่น ถนนติวานนท์ ถนนเศรษฐกิจ ถนนรังสิต-นครนายก ถนนกรุงเทพ-ปทุมธานี เป็นต้น
นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ ที่ ดร.โสภณ เป็นประธาน ยังได้พบโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่รอเปิดขายใหม่ในอนาคตอีก 384 โครงการ ซึ่งความคืบหน้าจะได้นำเสนอต่อไป จะสังเกตได้ว่ามีโครงการหลายแห่งที่ได้ประกาศตัวหรือเปิดตัวทางหน้าหนังสือพิมพ์ อย่างไรก็ตามในการเปิดขายจริง (ที่มีโบรชัวร์และสำนักงานขายที่พร้อมต้อนรับผู้สนใจซื้อไปเยี่ยมชม) ยังไม่มี จึงถือเป็นโครงการที่ยังไม่เปิดตัวและเมื่อเปิดตัวจริงแล้ว จะได้ดำเนินการสำรวจต่อไป
โดยรวมแล้ว ดร.โสภณ คาดว่า ในปี 2559 จะเปิดตัวโครงการลดลง 5% ในด้านจำนวนหน่วย แต่มูลค่าลดลง 16% แต่เชื่อว่าในปี 2560 สถานการณ์อาจคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นบ้าง