ตอนนี้ไทยมีสมาคมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มอีก 1 แล้ว นับว่าน่ายินดี สะท้อนถึงความต้องการประชาธิปไตย แต่ ดร.โสภณ เตือน อย่าใช้สมาคมหากินส่วนตัว ช่วยกันพัฒนาวิชาชีพดีกว่า
เมื่อวันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2559 คุณอภิชาติ ประสิทธิ์นฤทธิ์ นายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์และพันธมิตร ได้เชิญ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ให้ไปร่วมบรรยายเรื่อง "ผ่าขุมทรัพย์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายกลาง รายย่อมสู่ความสำเร็จ" ดร.โสภณ ได้กล่าวโดยมีความดังนี้
การมีสมาคมใหม่ชื่อ สมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์และพันธมิตรและมีผู้เข้าร่วมงานเป็นสมาชิกหลายร้อยคน และแจ้งมาร่วมประชุมในวันเปิดงานนี้ถึง 250 คน แสดงให้เห็นว่าในวงการอสังหาริมทรัพย์ของเรานั้น ต้องการมีพื้นที่ยืนมากขึ้น บางคนอาจบอกว่ามีตั้ง 3 สมาคมแล้วจะตั้งทำไมอีก จริงๆ ก็ควรมีสมาคมเดียวเหมือนประเทศอื่น แต่ในเมื่อทุกคนมีสิทธิตั้ง ก็ไม่ควรว่ากล่าวกัน ขอเพียงให้มีความร่วมมือกันก็เป็นใช้ได้ เราอาจตั้งกันอีกหลายสมาคมก็ได้ แต่ควรร่วมมือกัน ให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วม
การมีผู้สนใจมากมายเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า เราต้องการประชาธิปไตย (ไม่ได้พูดในเชิงการเมืองระดับประเทศ) แต่เป็นธรรมชาติที่มนุษย์ นักธุรกิจ ประชาชนหรือใคร ๆ ก็ตามต้องการประชาธิปไตย ต้องการการมีโอกาสแสดงออก มีส่วนร่วมในการพัฒนาอาชีพ วิชาชีพและสังคมโดยรวม สังคม (ธุรกิจ) ที่เป็นอยู่อาจไม่มีประชาธิปไตยเท่าที่ควร จึงมีปรากฏการณ์สมาคมใหม่นี้ขึ้น
อย่างไรก็ตามก็มีกับดักของสมาคมที่พึงสังวร การมีสมาคมใหม่ก็เป็นโอกาสใหม่ แต่หลายคนก็อาจชอบยึดติด อย่างเช่นสมาคมกีฬาหนึ่ง นายกสมาคม เป็นมานานมากจนถึงขนาดต้องถูกไล่ออกโดยสมาชิก เพราะการเป็นกรรมการสมาคมนั้นมีผลประโยชน์ ได้รับเชิญ ได้รับอุปโลกน์ ได้รับหัวโขนที่ประเคนให้โดยทางราชการ บางสมาคม ชมรม สหภาพ ก็อาจได้ประโยชน์บางอย่าง บ้างก็หวังสายสะพาย บ้างก็หวังเป็นผู้พิพากษาสมทบ เราจึงเห็นปรากฏการณ์ที่คนเป็นกรรมการ เป็นนายกฯ แล้วไม่ยอมลุกจากเก้าอี้
ดังนั้นใครตั้งสมาคมก็ควรที่จะพร้อมสละให้คนอื่นได้เป็น ได้ทำบ้าง ไม่ใช่ผูกขาด หวังลาภยศสักการะอยู่อย่างนั้น คนทำงานในวิชาชีพ ก็ควรจะทำประโยชน์ต่อวิชาชีพบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ได้ เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว เอาตำแหน่งกรรมการมาหากินส่วนตัวอย่างน่าละอาย ดร.โสภณ ก็ตั้งองค์กรสาธารณประโยชน์เช่นกัน เช่น มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ก็สละให้มีประธานมา 3 คนแล้ว ตอนนี้ก่อตั้งสมาคมผู้ซื้อบ้าน ก็ตั้งใจว่าจะเป็นประธานสมัยเดียว โดยไม่คิดผูกขาด
ทางราชการจะคิดแก้ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ก็พึงฟังสมาคมที่เกี่ยวข้องหลาย ๆ สมาคม เช่น สมาคมนักพัฒนาที่ดิน 4 สมาคมในเมืองหลวง และอีก 6 สมาคมในภูมิภาค สมาคมรับสร้างบ้าน 2 สมาคม สมาคมประเมิน 2 สมาคม สมาคมบริหารทรัพย์สิน 2 สมาคม สมาคมนายหน้า-การขาย 2 สมาคม สมาคมสินเชื่อฯ สมาคมวิชาชีพอีกนับสิบแห่ง รวม ๆ กันแล้วคงปาเข้าไป 30 แห่ง รัฐบาลไม่พึงเลือกฟังเฉพาะบางคน บางสมาคม หรือเลือกที่รักมักที่ชัง
อันที่จริงรัฐบาลพึงตั้งสภาอสังหาริมทรัพย์ โดยมีรัฐบาลเป็นประธาน มีกรรมการประกอบด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สมาคมที่เกี่ยวข้อง ให้ทุกภาคส่วนได้มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่พวกมากลากไป หรือไม่ใช่อาศัยเส้นสาย เลือกแต่งตั้งเอาตามความพอใจ ถ้าทำเช่นนี้แล้ว รัฐบาลก็จะได้แนวทางนโยบายที่ดีจากสภาอสังหาริมทรัพย์ แห่งนี้ จะได้ไม่ถูกกลุ่มผลประโยชน์ใดจูงไปทางใดทางหนึ่งที่ไม่ใช่หนทางที่ดีต่อประชาชนและประเทศชาติ
มาตั้งสภาอสังหาริมทรัพย์กันเถอะ