ประเทศอาเซียนเจริญกันใหญ่แล้ว ไทยทำไรอยู่
  AREA แถลง ฉบับที่ 463/2559: วันพฤหัสบดีที่ 08 ธันวาคม 2559

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

         สิ่งที่ผมกลัวประการหนึ่งก็คือ กลัวว่าประเทศในอาเซียนจะก้าวล้ำนำหน้าไทยเรา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประชาชนไทยเองแหละที่จะอยู่ยาก เรามารู้เขารู้เรา มาช่วยป้องกันตัวเราเอง มาช่วยรัฐหาทางพัฒนาชาติกันเถอะ

         ผมเพิ่งเดินทางกลับจากอินโดนีเซีย เจอผู้รู้ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่นั่น ซึ่งก็ใกล้ชิดกับทั้งสิงคโปร์และมาเลเซียด้วย อีกทั้งผมยังเป็นกรรมการสมาคมอสังหาริมทรัพย์ในอาเซียน จึงได้มีโอกาส "เปิดหูเปิดตา" หาความจริงบ้าง ถ้าเราฟังแต่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ท่านก็จะพูดว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย หรือ GDP ดีกว่าสิงคโปร์ หรือเกาหลี ผมยกให้อีกสองประเทศคือญี่ปุ่นและบรูไนด้วย

         ที่ประเทศเหล่านี้เจริญน้อยกว่าไทยนั้น พื้นฐานสำคัญก็คือ เขาเป็นประเทศที่ร่ำรวยแล้ว ประเทศระดับนี้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจึงย่อมเชื่องช้ากว่าไทยบ้าง ประจวบกับราคาน้ำมันตกต่ำ ทำให้ประเทศบรูไน ก็ซวดเซไปด้วย สิงคโปร์ก็มาในทำนองเดียวกัน แต่สิ่งที่ ดร.สมคิดกลับไม่พูดก็คือ เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคอาเซียนทั้งผอง 8 ประเทศ (ไม่รวมสิงคโปร์และบรูไน) ล้วนมีอัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี/สูงกว่าไทยทั้งสิ้น เขาเติบโตกันใหญ่แล้ว

         ถ้าวันดีคืนร้ายประเทศเหล่านี้หายใจรดต้นคอไทย หรือเกิดแซงหน้าไทยขึ้นมา ไทยจะทำอย่างไร เราจะอยู่กันอย่างไร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยเจริญพอ ๆ กับญี่ป่น มาเลเซียเจริญน้อยกว่าไทย ตนกูอับดุลรามาน อดีตนายกฯ มาเลเซียยังมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ สมัยนั้นสิงคโปร์ยังเป็นวุ้น ในสมัยรัชกาลที่ 8 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลียังเป็นประเทศด้อยพัฒนากว่าไทย ตอนนี้ประเทศเหล่านี้รวมทั้งมาเลเซียก็แซงหน้าเราไปแล้ว นี่ถ้าเกิดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาทัดเทียมไทยขึ้นมา หรือเกิดลาว เขมร เวียดนาม เมียนมา มายืน "หายใจรดต้นคอ" ไทยขึ้นมา คนไทยเราคง "ตายหยังเขียด" ยิ่งเศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศก็ยิ่งจะมีความแตกแยก

         ผมไปกรุงจาการ์ตาคราวนี้ ได้พบผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมการลงทุนของอินโดนีเซีย ปรากฏว่าเขาส่งเสริมการลงทุนกันใหญ่ ให้ตัวแทนแต่ละกระทรวงมานั่งที่สำนักงานเลย มีอะไรก็จะได้อนุมัติแบบรวดเดียวจบกันตรงนั้นเลย และบังเอิญผมไปพบผู้บริหารบริษัททำเหมืองรายใหญ่ที่สุดโดยเฉพาะผลิตทองคำได้มากที่สุดในอินโดนีเซียมาด้วย ชื่อบริษัทแอนทัม (www.antam.com) ที่นั่นเขาทำเหมืองทองคำกันเป็นล่ำเป็นสัน ก็คงมีข่าว "ดรามา" เรื่องมลพิษเหมืองทองคำบ้าง แต่รัฐบาลที่นั่นก็หาทางแก้ไข ไม่ใช่ไปปิดเหมืองทองคำแบบที่พิจิตร

         รัฐบาลอินโดนีเซียส่งเสริมการลงทุน แต่ของไทยกลับปิดเหมืองทองคำที่ออสเตรเลียมาลงทุน ทั้งที่ชาวบ้านที่นั่นเกือบ 80% เห็นว่าควรให้อยู่ต่อ (http://bit.ly/1Y3UkDE) ในไทยเรากลับปล่อยให้ดรามากันโดยไม่พิสูจน์ เช่น บอกว่าพืชผักแถวใกล้เหมืองมีมลพิษ ทั้งที่ชาวบ้านสามารถปลูก "ผักสวนครัวรั้วกินได้" กันตลอด น้ำดื่มที่ผลิตรอบเหมืองก็สามารถดื่มได้ ที่สำคัญไม่มีคนตายเพราะเหมืองทองคำ ยกเว้นการโพนทะนา ถ้าขืนบ้านเมืองเราเป็นแบบนี้ แล้วเขาหนีไปลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้านกันหมด ไทยจะเป็นอย่างไร

         อีกกรณีหนึ่งก็คือเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน อย่าว่าแต่ในอินโดนีเซียเลย แม้แต่ในมาเลเซีย ก็มีโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นจำนวนมาก ในสิงคโปร์ก็ยังมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่เขาก็สามารถจัดการได้ อยู่ร่วมกันได้ รอบ ๆ โรงไฟฟ้า ก็ยังมีรีสอร์ตต่าง ๆ อยู่กันมากมาย อาจมีเสียงเล็ดลอดมาบ้างว่ามีมลพิษ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เป็นเพียงการโพนทะนาของพวกเอ็นจีโอทำลายชาติเป็นสำคัญ (http://bit.ly/1jJcJVG) อันที่จริงรอบ ๆ โรงไฟฟ้ากระบี่ตลอดระยะเวลาที่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2509 ก็ปรากฏว่า มีรีสอร์ตต่าง ๆ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่เอ็นจีโออ้างว่ามีมลพิษ

         ที่สิงคโปร์ ไม่ใช่มีแต่โรงไฟฟ้าถ่านหิน แม้แต่โรงกลั่นน้ำมันก็มี ทางด้านใต้ของสิงคโปร์ ยังมีเกาะบาตัม และเกาะบินตัน ซึ่งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย แต่นักลงทุนสิงคโปร์ไปลงทุนกันมาก ทั้งโรงงาน และรีสอร์ตต่าง ๆ ก็แทบไม่มีข่าวว่ามีมลพิษอะไรดังที่พวกเอ็นจีโอชอบโพนทะนาในประเทศไทย และถ้ามีมลพิษจริง ชาวสิงคโปร์คงตายก่อนแล้ว เพราะเกาะทั้งสองอยู่ทางด้านใต้ของสิงคโปร์เท่านั้น โรงไฟฟ้าถ่านหิน Kpar ก็ตั้งอยู่ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ราว 56 กิโลเมตรเท่านั้น ถ้ามีมลพิษกันจริง ชาวมาเลย์ก็คง "มีเคือง" แน่นอน

         แต่เอ็นจีโอบางรายก็ "แถ" ว่า สิงคโปร์ มาเลเซีย เขาดูแลสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าไทย การพูดอย่างนี้เป็นการดูถูกคนไทยด้วยกันเองชัด ๆ ถ้าเขาดีกว่าจริง ก็ควรไปจ้างพวกเขามาคุมโรงไฟฟ้า คุมเหมืองจะดีหรือไม่  หรือถ้าจะให้แน่นอนกว่านั้น ก็จ้างชาวญี่ปุ่น ชาวเยอรมันมาคุมเลยก็อาจจะดีกว่าหรือไม่ แต่ความจริงคนไทยเราก็มีคุณภาพ เพียงแต่พวกเอ็นจีโอมักจะ "ติเรือทั้งโกลน" ไม่ฟังอะไรที่เป็นความจริง (Hard Facts) อาศัยความกลัวมาลวงคนไปวันๆ

         ผมไปประเมินเขื่อนที่เกาะชวา เขาคงมีแผนการที่จะสร้างใหม่ สร้างเพิ่มเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า และในระยะหลังมา แม้แต่ธนาคารโลกก็ส่งเสริมให้สร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าในฐานะที่เป็นพลังงานสะอาดกันแล้ว (http://bit.ly/1NdManb) นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนทำสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในประเทศต่าง ๆ ในอินโดจีน ในอินโดนีเซีย และอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก แต่ของเรากลับไปฟังแต่เอ็นจีโอถ่วงความเจริญชาติ ไม่ฟังชาวบ้านรอบเขื่อนแม่วงก์ราว 80% ที่ต้องการเขื่อน ไม่ฟังชาวบ้านรอบเหมืองทองคำ 80% ที่ต้องการเหมือง ไม่ฟังเสียงชาวบ้านส่วนใหญ่รอบโรงไฟฟ้ากระบี่ที่ไม่คัดค้าน ไม่ฟังชาวภูกระดึง 97% ที่ต้องการกระเช้า เช่นนี้แล้ว ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เราท่านก็คงพอนึกภาพออกไหม

         ประเทศอื่นเขากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการลงทุนกันใหญ่ ทั้งกัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย โดยยกให้ทั้งเกาะไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ รีสอร์ต (แต่ไม่ได้ทำสัญญาแบบ "เสียค่าโง่") ไทยเรากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการ "แจกเงิน" นี่เรามาถูกทางแน่หรือ ถ้าแก้เศรษฐกิจผิดทาง ประชาชนก็จะยากจนลง ขาดอิสรภาพทางการเงิน ทำให้ต้องพึ่งพิงข้าราชการที่ได้รับสิทธิพิเศษมากขึ้นทุกวัน

         ยิ่งคิดยิ่งห่วงชาติไทยจริงๆ เลยครับ


 


 

เวียดนามก็สร้างกระเช้าไฟฟ้าได้: https://thaisocialwork.files.wordpress.com/2016/03/59-079-4.jpg

อ่าน 13,230 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved