ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ต้องไปด้วยกัน ธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของลูกจ้าง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ลูกค้า ผู้บริโภคและสังคม ย่อมไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นและเป็นมงคลในการทำธุรกิจให้ยั่งยืนได้
ในวันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2559 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ในฐานะกรรมการบริหาร สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย ได้ไปประชุมเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนต์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และคณะ
หลักสิทธิมนุษยชน
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน(Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) ระบุไว้ว่าบุคคลชอบที่จะมีสิทธิและเสรีภาพประดามีที่ระบุไว้ในปฏิญาณนี้ ทั้งนี้โดยไม่มีการจำแนกความแตกต่างในเรื่องใดๆ เช่น เชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรือทางอื่นใด ชาติหรือสังคมอันเป็นที่มาเดิม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นใด นอกจากนี้การจำแนกข้อแตกต่างโดยอาศัยมูลฐานแห่งสถานะทางการเมืองทางดุลอาณาหรือทางเรื่องระหว่างประเทศของประเทศ หรือดินแดนซึ่งบุคคลสังกัดจะทำมิได้ ทั้งนี้ไม่ว่าดินแดนดังกล่าวจะเป็นเอกราชอยู่ในความพิทักษ์ มิได้ปกครองตนเองหรืออยู่ภายใต้การจำกัดแห่งอธิปไตยอื่นใด (https://goo.gl/9Ygdp9)
สำหรับหลักการในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน30 ประการ (http://bit.ly/2i3SxhM และ https://goo.gl/K0PfV9) ประกอบด้วย
ข้อ 22 ในฐานะสมาชิกของสังคมด้วยความเพียรพยายามของชาติตลอดจนความร่วมมือระหว่างประเทศและโดยสอดคล้องกับการจัดระเบียบและทรัพยากรของแต่ละรัฐ บุคคลมีสิทธิในความมั่นคงทางสังคมและชอบที่จะได้รับผลแห่งสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมซึ่งจำเป็นต่อศักดิ์ศรีและการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างเสรีของตน
ข้อ 23 (1) บุคคลมีสิทธิที่จะทำงานที่จะเลือกงานอย่างเสรี ที่จะมีสภาวะการทำงานที่ยุติธรรมและพอใจ และที่จะได้รับความคุ้มครองจากการว่างงาน
(2) บุคคลมิสิทธิในการรับค่าตอบแทนเท่ากันสำหรับการทำงานที่เท่ากัน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติใดๆ
(3) บุคคลผู้ทำงานมีสิทธิในรายได้ซึ่งยุติธรรม และเอื้อประโยชน์เพื่อประกันสำหรับตนเองและครอบครัวให้การดำรงชีวิตมีค่าควรแก่ศักดิ์ศรีของมนุษย์ และถ้าจำเป็นก็ชอบที่จะได้รับความคุ้มครองทางสังคมอื่นๆ เพิ่มเติม
(4) บุคคลมีสิทธิที่จะก่อตั้งและเข้าร่วมกับสหภาพแรงงานเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของตน
ข้อ 24 บุคคลมีสิทธิในการพักผ่อนและเวลาว่าง รวมทั้งการจำกัดเวลาทำงานที่ชอบด้วยเหตุผลและมีวันหยุดครั้งคราวที่ได้รับค่าตอบแทน
ข้อ 25 (1) บุคคลมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอสำกรับสุขภาพ และความอยู่ดีของตนและครอบครัว รวมทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล และบริการสังคมที่จำเป็นและสิทธิในความมั่นคงในกรณีว่างงาน เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เป็นหม้าย วัยชรา หรือการขาดปัจจัยในการเลี้ยงชีพอื่นใดในพฤติการณ์อันเกิดจากที่ตนจะควบคุมได้
(2) มารดาและบุตรชอบที่จะได้รับการดูแลแลความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เด็กทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบุตรในหรือนอกสมรสย่อมได้รับความคุ้มครองทางสังคมเช่นเดียวกัน
ข้อ 26 (1) บุคคลมีสิทธิในการศึกษา การศึกษาจะเป็นสิ่งที่ให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่า อย่างน้อยที่สุดในขั้นประถมศึกษาและขั้นพื้นฐาน ขั้นประถมศึกษาให้เป็นการศึกษาภาคบังคับ ขั้นเทคนิคและขั้นประกอบอาชีพเป็นการศึกษาที่จะต้องจัดมีขึ้นโดยทั่วๆ ไป และขั้นสูงเป็นขั้นที่จะเปิดให้ทุกคนเท่ากันตามความสามารถ
(2) การศึกษาจะมุ่งไปในทางพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างเต็มที่และเพื่อเสริมพลังเคารพต่อสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นมูลฐานให้แข็งแกร่ง ทั้งจะมุ่งเสริมความเข้าใจ ขันติ และมิตรภาพในระหว่างประชาชาติ กลุ่มเชื้อชาติ หรือกลุ่มศาสนา และจะมุ่งขยายกิจกรรมของสหประชาชาติเพื่อการธำรงสันติภาพ
(3) ผู้ปกครองมีสิทธิก่อนผู้อื่นที่จะเลือกชนิดของการศึกษาสำหรับบุตรหลานของตน
ข้อ 27 (1) บุคคลมีสิทธิที่จะเข้าร่วมการใช้ชีวิตทางด้านวัฒนธรรมในประชาคมอย่างเสรี ที่จะพึงใจในศิลปะและมีส่วนในความคืบหน้าและผลประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์
(2) บุคคลมีสิทธิในการรับความคุ้มครองประโยชน์ทางด้านศีลธรรมและทางวัตถุอันเป็นผลได้จากการประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมและศิลปะซึ่งตนเป็นเจ้าของ
ข้อ 28 บุคคลชอบที่จะได้รับประโยชน์จากระเบียบสังคมและระหว่างประเทศอันจะอำนวยให้การใช้สิทธิและเสรีภาพบรรดาที่ได้ระบุในปฏิญญานี้ทำได้อย่างเต็มที่
ข้อ 29 (1) บุคคลมีหน้าที่ต่อประชาชนอันเป็นที่เดียวซึ่งบุคคิกภาพของตนจะพัฒนาได้อย่างเสรีและเต็มความสามารถ
(2) ในการใช้สิทธิและเสรีภาพ บุคคลต้องอยู่ใต้เพียงเช่นที่จำกัดโดยกำหนดแห่งกฎหมายเฉพาะ เพื่อความมุ่งประสงค์ให้ได้มาซึ่งการยอมรับ และการเคารพโดยชอบในสิทธิ เสรีภาพของผู้อื่น และเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดอันยุติธรรมของศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยของประชาชาติและสวัสดิการโดยทั่วๆ ไป ในสังคมประชาธิปไตย
(3) สิทธิและอิสรภาพเหล่านี้ มิว่าจะด้วยกรณีใดจะใช้ให้ขัดกับความมุ่งประสงค์และหลักการของสหประชาชาติไม่ได้
ข้อ 30 ข้อความต่างๆ ตามปฏิญญานี้ไม่เปิดช่องที่จะแปลความได้ว่าให้สิทธิใดๆ แก่รัฐ กลุ่มชนหรือบุคคลใดๆ ที่จะประกอบกิจกรรม หรือกระทำการใดๆ อันมุ่งต่อการทำลายสิทธิและเสรีภาพใดๆ บรรดาที่ได้ระบุไว้ในบทบัญญัติฉบับนี้
สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
อาจกล่าวได้ว่า "สถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยยังน่าห่วง" (https://goo.gl/UJ8TAl) "จนถึงปัจจุบันก็ยังพบว่ามีเหยื่อการละเมิดสิทธิ์ โดยเฉพาะถูกละเมิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คนในครอบครัวและบุคคลใกล้ชิดได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม. . .บุคคลที่ออกมาเรียกร้องในกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการอุ้มฆ่า อุ้มหาย สิ่งที่น่าเป็นกังวลสำหรับการแก้ไขปัญหานี้. . .สิ่งที่เป็นเป้าหมายหลังจากนี้คือจะต้องตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการละเมิดสิทธิ์ของชาวบ้าน และเสนอความจริงผ่านการทำรายงานอย่างรวดเร็ว และยกระดับสู่มาตรฐานสากล"
ในสถานการณ์ที่มีรัฐประหารในประเทศไทย และมีรัฐบาลจากการรัฐประหารล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 255 ย่อมทำให้เกิดปัญหาสิทธิมนุษยชน เพราะภายใต้ระบอบรัฐประหาร สิทธิของประชาชนในด้านต่าง ๆ ย่อมจำกัดลง และส่งผลต่อภาคธุรกิจในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการค้าขายกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศตะวันตกที่ไม่ยินดีกับการไม่มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ภาวะที่จะมีการเลือกตั้งในอนาคตก็จะส่งผลบวกต่อประเทศ ดังเช่นหลังการเลือกตั้งในเมียนมา ก็ทำให้เศรษฐกิจเติบโต
สิทธิมนุษยชนกับวิสาหกิจเอกชน
หลายท่านอาจจะงงว่าสิทธิมนุษยชนเกี่ยวอะไรกับ CSR แต่ในความเป็นจริง สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องหัวใจของการมี CSR หากนายจ้างหรือวิสาหกิจใดไม่ตระหนักถึงศักดิ์ศรี และความเท่าเทียมกันของความเป็นมนุษย์ วิสาหกิจนั้น ๆ จะถือตนว่ามี CSR ได้อย่างไร การมี CSR ต้องยึดถือสิทธิมนุษยชนที่เคารพ:
1. ความเท่าเทียมกันในแง่ศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์ (ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจของเรา) ที่จะละเมิดไม่ได้ ทั้งด้านชาติพันธุ์ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดทางการเมือง ภูมิลำเนา ชนชั้น ทรัพย์สิน ฯลฯ
2. ชีวิตและการปลอดจากการกดขี่ ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบ การทารุณทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ ตามที่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
3. เสรีภาพของบุคคล สิทธิความเป็นส่วนตัว หรือต่อการถือครองทรัพย์สิน การยึดถือความเชื่อต่าง ๆ รวมถึงการชุมนุมอย่างสงบโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
4. สิทธิในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงการมีงานทำ การจ้างงานอย่างเป็นธรรม เท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยก รวมทั้งการมีสิทธิรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ในหมู่ ลูกจ้าง เป็นต้น
การมี CSR จึงต้องเคารพสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานสากลที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก และปฏิบัติทั้งภายในวิสาหกิจและในกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยนัยนี้ วิสาหกิจที่มี CSR จึงต้อง:
1. ดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบของกฎหมายโดยเคร่งครัด เพราะสังคมหรือวิสาหกิจที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนย่อมมีเสถียรภาพและมีสภาพแวดล้อมที่เป็นคุณต่อธุรกิจนั้น ๆ
2. การใส่ใจสิทธิผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการรับรู้ข่าวสาร
3. การขยายผลด้านสิทธิมนุษยชนต่อคู่ค้าที่เป็นผู้จัดหาวัตถุดิบและบริการ โดยมุ่งส่งเสริมให้คู่ค้าร่วมปฏิบัติตามหลักการนี้ด้วย
4. เคารพสิทธิของลูกจ้างโดยเคร่งครัดเพื่อให้การบริหารธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น และสร้างสรรค์
สิ่งที่วิสาหกิจจะสามารถดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมได้แก่:
1. การประกาศนโยบายด้าน ‘สิทธิมนุษยชน’ ภายในองค์กร
2. การพัฒนาระบบการจัดการด้านความปลอดภัยและสุขภาพแก่พนักงาน เช่น น้ำดื่มสะอาด และจัดสภาพแวดล้อมที่ดี เป็นต้น
3. การจัดอบรมพนักงาน ให้ตระหนักถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนที่จะมีผลต่อการประกอบกิจการ
4. ประเมินผลและพัฒนากิจกรรมส่งเสริมศักยภาพและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของพนักงานเป็นระยะ ๆ
วิสาหกิจพึงระวังการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งทางตรง เช่น เป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนของพนักงานหรือของชุมชนโดยรอบ หรือเป็นในลักษณะที่ได้ประโยชน์จากการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การรับแรงงานผิดกฎหมายมาทำงานเพื่อให้ตนมีต้นทุนที่ต่ำกว่า รวมถึงการวางเฉยต่อการเล่นพรรคเล่นพวก เลือกที่รักมักที่ชังภายในวิสาหกิจอีกด้วย
แรงงานกับสิทธิมนุษยชน
คนทั่วไปอาจมองการก่อตั้งสหภาพแรงงานเป็นเรื่องรุนแรง น่ากลัว น่าหงุดหงิด ฯลฯ แต่การยอมให้พนักงานได้มีสิทธิและเสียงในการแสดงออกนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจและนับถือกัน ลดช่องว่างระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง เราต้องมองในแง่ดีว่าการรวมตัวของพนักงานย่อมก่อให้เกิดพลังสร้างสรรค์ ช่วยเพิ่มพูนรายได้ และเสริมสร้างประสิทธิภาพแรงงานมากกว่าการให้พนักงานไปเสพสุขชั่ววูบจากการติดยาเสพติดหรือการพนัน
การที่พนักงานมีพลังการต่อรอง ย่อมทำให้เขามีเกียรติและศักดิ์ศรีที่จะพัฒนาตนเอง นายจ้างจะคาดหวังให้ลูกจ้างมองตนเป็น ‘คุณพ่อแสนดี’ ที่ยินดีตอบสนองแก่ลูกจ้างโดยไม่จำเป็นเรียกร้องไม่ได้ เราต้องเชื่อถือพลังสามัคคีของบุคคลและมติของ ‘มหาชน’ มากกว่าปัจเจกบุคคลใดโดยเฉพาะ
หากนายจ้างไม่ได้มุ่งหวังที่จะขูดรีดหรือเอาเปรียบลูกจ้างแล้ว ก็ยิ่งไม่ต้องกลัวพลังการต่อรองของลูกจ้าง และยิ่งหากนายจ้างให้สวัสดิการตามสมควร (ในด้านความปลอดภัย ค่าจ้าง วันลา การจ่ายเงินล่วงเวลา การรักษาพยาบาล ฯลฯ) บางทีการก่อตั้งสหภาพแรงงานอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรืออยู่ในห้วงคำนึงของลูกจ้างด้วยซ้ำไป เพราะลูกจ้างก็ต้องมีต้นทุนในการก่อตั้งเพื่อผลประโยชน์ของตนเช่นกัน
สิ่งที่จะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมได้แก่:
1. การจัดหาสถานที่ให้พนักงานได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านแรงงาน และให้มีกระบวนการร้องเรียนอย่างเหมาะสมเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม
2. การใช้ข้อเรียกร้องและการเจรจาต่อรองของลูกจ้างเป็นแนวทางในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้ลูกจ้างมีประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
3. การจัดกิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างอย่างสร้างสรรค์ต่อเนื่องเพื่อลดช่องว่าง และเพิ่มศักยภาพในการทำงาน
สำหรับประเด็นการบังคับใช้แรงงาน แรงงานเด็ก หรือแรงงานทาสนั้น ถือเป็นการขูดรีดแรงงาน เป็นอาชญากรรมทางกฎหมายต่อบุคคลและเป็นการทำความเสียหายต่อประเทศชาติมักเกิดขึ้นในวิสาหกิจที่เป็นโรงงาน การใช้แรงงานที่ไม่เต็มใจ หรือแม้แต่การ ‘ทำงานขัดดอก (เบี้ย)’ เช่นนี้ย่อมทำให้ประสิทธิภาพงานต่ำ แม้ค่าจ้างอาจจะต่ำ แต่ก็ส่งผลต่อต้นทุนที่สูงขึ้นในทางด้านอื่น และเสี่ยงต่อการเสียชื่อเสียงและการกระทำผิดกฎหมาย
นายจ้างหรือเจ้าของวิสาหกิจพึงตระหนักว่า ลูกจ้างมีสิทธิที่จะทำงานต่อหรือลาออกจากงานได้ตามกฎหมาย จะไปบังคับใช้แรงงานไม่ได้ ระยะเวลาในการร่วมงานของลูกจ้างขึ้นอยู่กับความสามารถของนายจ้างเองในการดึงดูดให้ลูกจ้างร่วมงานอยู่ต่อได้นานและสร้างสรรค์เพียงใด
งานที่มีคุณภาพและมีปริมาณมากขึ้น มักได้มาจากแรงงานที่เต็มใจทำงานเป็นอันดับแรก การที่นายจ้างกระทำผิดกฎหมายด้วยการบังคับใช้แรงงานหรือใช้แรงงานเด็กราคาถูก อาจทำให้นายจ้างต้อง ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’
วิสาหกิจที่มี CSR ต้องไม่กีดกันการจ้างงาน อาชีพ และความก้าวหน้าในการทำงานโดยพิจารณาจากชาติพันธุ์ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง ภูมิลำเนา หรือชนชั้น เป็นต้น การกีดกันนี้อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่การไม่จ้างแรงงานหญิงหรือจ้างในราคาถูกพิเศษในไร่นา จนถึงธุรกิจคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่อาจกีดกันหรือเลือกปฏิบัติต่อพนักงานตามสถาบันที่จบมาหรือภูมิลำเนาเดิม
การไม่กีดกันหรือเลือกปฏิบัติก็คือการที่ลูกจ้างได้รับการคัดเลือกหรือส่งเสริมให้เติบโตในหน้าที่การงานตามความสามารถในงาน โดยหลักแล้ว ธุรกิจไม่พึงกีดกันแรงงานเพราะเราควรคัดเลือกกันตามสามารถที่จะหนุนช่วยธุรกิจกันมากกว่า ดังนั้นจึงควรกำหนดเงื่อนไขการจ้างงานอย่างเป็นธรรม ให้พนักงานได้รับค่าตอบแทนตามศักยภาพ
เครื่องวัดว่าวิสาหกิจใดปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างเหมาะสมหรือไม่ ก็ดูที่การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด การยินดีช่วยเหลือหากลูกจ้างไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือการไม่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมายเอาเปรียบลูกจ้าง
นอกจากนี้ วิสาหกิจยังพึงส่งเสริมให้ลูกจ้างได้มีโอกาสที่เท่าเทียมกันในการการพัฒนาทักษะ การศึกษาต่อเนื่อง หรือการศึกษาในสถาบันการศึกษาชั้นสูงเพิ่มขึ้น การทำนุบำรุงลูกจ้างเช่นนี้ ย่อมจะทำให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น ส่งผลดีต่อวิสาหกิจในที่สุด
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
สิทธิมนุษยชนเป็นประเด็นหลักของการทำให้ประเทศมีความศิวิไลซ์ มีอารยธรรม ถ้าประเทศขาดสิทธิมนุษยชน เกียรติภูมิก็จะไม่ดี ความสามารถในการแข่งขันก็จะจำกัด ภาครัฐจึงเป็นตัวหลักในการจัดการสิทธิมนุษยชน ส่วนในภาคเอกชนมักจะปรากฏปัญหาในส่วนของการใช้แรงงานคนต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย หรือไม่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ ตลอดจนปัญหาในรายละเอียด เช่น การล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น
ประเด็นที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือการเฝ้าระวังเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง (Human Rights Due Diligence) สิทธิมนุษยชนมักจะเป็นเพียงสิ่งที่เขียนไว้เฉย ๆ ในกระดาษ หากไม่มีการตรวจสอบเฝ้าระวังกันอย่างจริงจัง หรือมีการเฝ้าระวังกันแต่ในเชิงรูปแบบเท่านั้น ก็ไม่อาจทำให้เราใช้ประเด็นสิทธิมนุษยชนในการพัฒนาประเทศ และดูแลการแรงงานและประชาชนโดยรวมได้ การที่จะมีการเฝ้าระวังอย่างจริงจัง ก็ต้องอาศัยการมีตัวแทนของภาคประชาชนเข้าร่วม ตัวแทนเหล่านี้พึงได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ไม่ใช่ให้ส่วนราชการแต่งตั้งคนใกล้ชิด ซึ่งก็เป็นเพียง "ปาหี่" เท่านั้น
การดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ดีในแง่ของการเคารพสิทธิมนุษยชนโดยเคร่งครัดและตรวจสอบได้ ย่อมเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการ และสังคมโดยรวม เป็นการสร้างแบรนด์ได้อย่างหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจมีมูลค่าเพิ่มกลายเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตน (Intangible Assets) มากกว่าเฉพาะจากตัวอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ แต่ได้จากการมีคุณภาพ และทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนในที่สุด
การดูแลสิทธิมนุษยชนให้ได้ดี ย่อมทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยดีขึ้น ควรเริ่มต้นที่ภาครัฐให้มีประชาธิปไตย และดูแลภาคเอกชนไม่ให้เอาเปรียบผู้ใช้แรงงานในวิสาหกิจของตน แล้วร่วมกันสร้างสรรค์บรรยากาศการทำงานที่ดีเพื่อผลิตภาพที่ดี