กฎหมายผังเมืองของไทยมีขึ้นเมื่อ 64 ปีที่แล้ว แต่ทุกอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน เมืองแทบไม่มีการวางผัง วางแผนเอาเสียเลย ในขณะที่ผมได้มีโอกาสข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเป็นระยะ ๆ เลย “ตาสว่าง” ไม่รู้บรมครูนักผังเมือง ผู้หลักผู้ใหญ่ทำอะไรอยู่ ผังเมืองไทยจึงย่ำแย่เหลือเกิน
หากเราสามารถทำการผังเมืองไทยให้ดี จะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้นัก แต่นี่เราทำไม่ดี ทำให้เกิดความสูญเสียต่าง ๆ เป็นอย่างมาก เพราะแยกต่าง ๆ ก็กลับเลี้ยวไปมาลำบาก สมมติว่าในเมืองหนึ่งๆ มีสัก 50 แยกที่การจราจรไม่สะดวกเพราะผังเมืองไม่ดี วันหนึ่งมีรถวิ่งผ่าน 10,000 คัน เสียเวลา และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เป็นเงินครั้งละ 1 บาท ก็คงเป็นเงิน 500,000 บาทต่อวัน ปีละ 182.5 ล้านบาท และหากคิดอัตราความเสี่ยงประมาณ 5% ต่อปี ก็จะเป็นเงินมูลค่าสูงถึง 3,650 ล้านบาท
เรามาลองดูกันในแต่ละเมือง
1. แม่สอด เมียวดี แม่สอดเป็นเทศบาลนคร แต่แทบไม่ได้มีการวางผังเมืองเลย ดูจากภาพจะเห็นว่าย่ำแย่ไปหมด แต่ในฝั่งเมียวดี กลับมีผังเมืองที่เป็นระเบียบ
2. แม่สาย ท่าขี้เหล็ก แม้ท่าขี้เหล็กจะเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจที่ย่างกุ้งและเนปิดอว์ แต่ก็กลับมีการวางผังเมือง ในขณะที่ระบบถนนที่แม่สายขาดระเบียบเป็นอย่างมาก
3. มุกดาหาร ไกรสอนพรหมวิหาร (สะหวันนะเขต) ดูจากภาพก็จะเห็นได้ชัดว่า มุกดาหารเติบโตอย่างไร้ระเบียบ ขาดการวางผังเมือง ต่างจากในฝั่งประเทศลาว
4. อรัญญประเทศ ปอยเปต จะเห็นได้ชัดว่าในฝั่งกัมพูชา เมืองชายแดนเล็ก ๆ นี้ก็ได้รับการวางผังเมืองมาแต่แรก ต่างจากอรัญประเทศที่เติบโตอย่างไร้ระเบียบ
มาเจาะลึกเฉพาะลาว แขวงสะหวันเขตเนื้อที่ 21,774 ตารางกิโลเมตร หรือ 14 เท่าของกรุงเทพมหานคร แบ่งการปกครองเป็น 15 เมือง โดยเมืองไกสอนพมวิหาน เป็นเมืองหลัก ประชากรในแขวงนี้ถือว่ามีมากที่สุดในประเทศ คือ 916,948 คน จุดเด่นของแขวง คือเศรษฐกิจขยายตัวสูงถึง 12.5% ในปี 2554 มีสะพานมิตรภาพ 2 (มุกดาหาร - สะหวันนะเขต) เป็นจุดเชื่อม รัฐบาลลาวประกาศโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน เป็นเขตส่งเสริมการลงทุนแห่งแรกในลาว แขวงสะหวันนะเขตมีธุรกรรมทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับสองรองจากเวียงจันทน์และยังมีสถานกาสิโน (Savan Vegas Hotel and Casino) {1}
ผังเมืองลาวโดยเฉพาะที่กรุงเวียงจันทน์นั้นวางตั้งแต่ พ.ศ.2448 หรือในสมัยรัชกาลที่ 5 ผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะของลาวนั้นกำหนดให้ใจกลางเมืองสามารถสร้างได้ประมาณ 75% เขตต่อเมืองสร้างได้ 60% และเขตนอกเมืองสร้างได้ไม่เกิน 50% ของพื้นที่ดิน ส่วนความสูงก็ไล่สูงจากในเมือง และค่อย ๆ ต่ำในเขตนอกเมือง ข้อนี้อาจแตกต่างจากไทยที่ไม่พยายามให้สร้างสูง ๆ มาก ๆ ในใจกลางเมือง โดยอ้างว่ากลัวไฟไหม้ กลัวแออัด แต่ไม่ได้คำนึงถึงความยากลำบากในการเดินทาง ความสิ้นเปลือง การขยายสาธารณูปโภคอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และการเพิ่มโลกร้อนจากการเดินทาง เป็นต้น
ผังเมืองของลาวนั้นมีแผนจะวางให้ทั่วจนถึงปี พ.ศ.2563 โดยเริ่มที่เมืองที่ยังไม่มีผังเมืองดีพอก่อน แล้วค่อยๆ ขยายไปเมืองอื่น ๆ ต่อไป โดยมีเจ้าหน้าที่รวมกันเกือบ 1,000 คนในการดำเนินการวางผังเมือง ทั้งนี้เป็นเจ้าหน้าที่ถาวรเพียง 400 คน นอกนั้นจ้างตามสัญญา ดังนั้นองค์กรจึงไม่อุ้ยอ้ายและแบกรับภาระการเลี้ยงดูเจ้าหน้าที่ และมุ่งให้เกิดผลในการวางผังโดยตรง
กระทรวงคมนาคม ขนส่ง ไปรษณีย์และการก่อสร้างเป็นหน่วยงานหลัก ซึ่งมีสำนักงานภูมิภาค และท้องถิ่น ของกระทรวงนี้เป็นผู้วางผังเมือง และมีองค์กรการพัฒนาเมืองให้เป็นไปตามแผน ไม่ใช่แบบไทย ๆ ที่ฝ่ายวางแผนก็วางไปทางหนึ่ง ฝ่ายปฏิบัติที่มีหลายหน่วยงานก็ต่างคนต่างไป ผังเมืองกลายเป็นเพียงการเขียนของหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งแม้จะเชิญหน่วยงานต่าง ๆ มาฟังด้วย แต่ก็ไม่ถือเป็นแผนแม่บทหรือ Master Plan ของหน่วยงานอื่นใด แม้แต่ในกรุงเทพมหานครเอง สำนักผังเมืองและสำนักการโยธาก็ยังอาจไม่ได้มีแผนประสานงานกัน
สำหรับโครงสร้างของกระทรวงคมนาคมฯ ของลาวนั้น ประกอบด้วยกรมที่อยู่อาศัยและการผังเมือง กรมทางหลวง กรมการบินพาณิชย์ กรมการขนส่ง กรมไปรษณีย์และการสื่อสาร กรมวางแผนและการเงิน สำนักวิจัยที่ดิน เป็นต้น หน่วยงานเหล่านี้เป็นหน่วยงานหลัก ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับผังเมือง จึงทำให้ผังเมืองที่ออกมามีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไม่ใช่ฝ่ายวางแผนก็วางไป ส่วนฝ่ายปฏิบัติการก็ทำของตัวเองไปโดยไม่ประสานกัน เราต้องเรียนรู้การประสานองค์กรจากลาวแล้วหรือไม่ เพราะของไทยนี่ต่างคนต่างใหญ่ ต่างมีทิฐิ
การผังเมืองจำเป็นต้องมีการตัดถนนใหม่ ซื้อที่ดินมาทำถนนและสร้างบ้านแปงเมือง ไม่ใช่เพียงแค่การปล่อยให้มีการพัฒนาไปตามถนนหนทางเดิม การเวนคืนจำเป็นต้องจ่ายค่าทดแทนให้เหมาะสม ไม่ใช่จ่ายต่ำ ๆ ตามราคาประเมินทางราชการ และต้องได้รับความร่วมมือจากชาวบ้าน ไม่เช่นนั้นก็จะทำให้โครงการล่าช้า ส่วนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ของผังเมืองรวมนั้น ก็จะต้องจัดวางล่วงหน้า โดยเฉพาะในส่วนนิคมอุตสาหรรม ก็ควรจัดเตรียมพื้นทื่ให้เรียบร้อย ทั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และนิคม SMEs เป็นต้น
ลาวออกกฎหมายได้รวดเร็วเฉกเช่นประเทศแทบทุกประเทศยกเว้นไทยก็ว่าได้ เช่นการทำผังเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ร.บ. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ พ.ร.บ. การผังเมือง ก็สามารถผ่านรัฐสภาได้ แต่กฎหมายไทยออกช้ามาก และกฎหมายไม่ทันสมัยเอาเสียเลย นอกจากนี้ลาวยังมีประกาศกระทรวงเช่น การสำรวจรังวัด การจัดตั้งองค์กรพัฒนาที่ดินเมือง ระเบียบการเวนคืน การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น เพื่อให้การผังเมือง
ย้อนกลับมาดูจังหวัดมุกดาหารของไทย เพิ่งมีผังเมืองฉบับแรกเมื่อ พ.ศ.2529 หรือ 34 ปีหลังจากไทยมีกฎหมายผังเมืองเมื่อ พ.ศ.2495 และเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2556 ผังเมืองก็หมดอายุลงเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ยังสามารถต่ออายุได้ 2 ครั้ง ๆ ละ 1 ปี จะสังเกตได้ว่าผังเมืองไทยนั้นมีอยู่ราว 258 ผัง หมดอายุไปแล้ว 1/3 (http://bit.ly/2fXayQ0) นี่แสดงว่าการวางผังเมืองไทยยังขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลเป็นอย่างมาก
เราคงต้องน้อมใจเรียนรู้จากกัมพูชา พม่า ลาว บ้างแล้วครับ อย่าคิดเพียงว่าเราเป็นพี่เอื้อย การปรับปรุงข้อกฎหมาย การออกกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย การวางแผนระยะยาว การประสานแผนและประสานการปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้ลาวไม่ได้คิดเอง แต่เรียนรู้ โดยเฉพาะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของไทย แต่เขามีองคาพยพที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ไทยยังตีกันอยู่ และต่างคนต่างใหญ่ ตราบเท่าที่ความก้าวหน้าของเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้อยู่ที่ผลงาน แต่อยู่ที่ "ด.ว.ง." คือ "ด. เด็กใคร ว. วิ่งหรือไม่ และ ง. เงินถึงหรือเปล่า" ตราบนั้นการคิดจะทำรัฐกิจให้ก้าวหน้าจึงเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม และไม่แน่ว่าวันดีคืนร้ายในไม่ช้านี้ เพื่อนบ้านจะค่อย ๆ แซงเราไปทีละราย
ถ้าราชการไทยจะไปดูงานเมืองนอก ก็ไปดูแค่อินโดจีนก็พอ เขาเป็นแบบอย่างที่ดีของเราได้ อย่าหาเรื่องเสียเงินไปดูงานไกลเลย เปลืองงบประมาณ อย่าให้ประเทศชาติเศร้าหมอง ต้องช่วยกันศึกษาเรียนรู้จากทั่วโลกเพื่อรับใช้ไทย น้อมใจเรียนรู้แม้กระทั่งจากอินโดจีน!
ที่มา:
{1} ข้อมูลจาก www.thaisavannakhet.com/savannakhet/th/data-service/sub-savannakhet/sawannaket
{2} ข้อมูลจาก Study on Urban Land Management and Planning in Lao PDR. Land Policy Study No. 5 under LLTP II Sponsored by: Lao-German Land Policy Development Project (German Contribution to the Lao Land Titling Project II in Lao PDR) Land Policy Study No. 10 under LLTP II: http://www2.gtz.de/dokumente/bib/07-1646.pdf