หลายคนทั้งพวกเสื้อเหลือง เสื้อแดงต่างยังเชื่อว่าเหมืองทองคำมีมลพิษจริง เขื่อนแม่วงก์ทำลายป่าไม้และสัตว์ป่า และป้อมมหากาฬรังแกประชาชน ผมขอเรียนว่าท่านเข้าใจผิด ผมเชื่อว่าในสังคมนี้ยังมีอีกหลายท่านที่อาจเข้าใจผิด ผมจึงขออนุญาตพูดแทนพี่น้องประชาชน
เหมืองทองคำไร้มลพิษ
หลายคนบอกว่าเหมืองทองคำพิจิตรมีมลพิษ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะ
1. ประชาชนแถวนั้นอยู่กันได้ พืชผักที่บอกว่าปลูกกินไม่ได้ แท้จริงแล้ว ประชาชนกินได้ น้ำก็ดื่มได้ทุกวัน
2. ที่ว่ามีคนเสียชีวิตเพราะมลพิษของเหมืองก็เป็นเรื่องเท็จ จากการพิสูจน์ที่ตายไปเพราะโรคอื่น ไม่เกี่ยวกับมลพิษเลย
3. มหาวิทยาลัยที่ไปพิสูจน์ เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีอคติ และกำลังถูกชาวบ้านฟ้องว่าไม่เป็นกลาง เข้าข้าง NGOs
4. คนงานเหมืองไม่เคยเสียชีวิตเลย แถมยังสามารถบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทยแทบทุกเดือน
5. มลพิษทางเสียง ฝุ่น ก็ไม่มี นกยังมาทำรังที่บ่อกากแร่ และในนั้นยังมีไซยาไนด์ น้อยกว่าในบุหรี่และกาแฟ
6. ผมไม่ได้เข้าข้างนายทุนสามานย์ที่ไหน แต่เข้าข้างชาวบ้านเพราะประชาชน 78% ต้องการเหมือง ถ้าไม่มีเหมืองชาวบ้านคงยากจนลง บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องย้ายหนีตายไปทำงานในเมือง ใครจะรับผิดชอบ?
โปรดอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/envi.people
เขื่อนแม่วงก์ดีกับทุกฝ่าย
เรื่องนี้ฝ่าย NGOs ใส่ร้ายป้ายสีอย่างหนัก แต่หาเป็นความจริงไม่
1. ไม่มีเสือ รอบๆ เหมืองมีแต่รีสอร์ตและบ้านชาวบ้าน มีที่กางเต๊นท์ ถ้ามีเสือจริง คงต้องพบรอยเสือ แต่รอยเสือที่พบอยู่ห่างไกลออกไปมากในป่า
2. บริเวณที่จะสร้างเขื่อน แต่เดิมเป็นชุมชน มีชาวบ้านอยู่ 200-300 ครัวเรือน ยังมีต้นมะพร้าวเหลือไว้ ชาวบ้านเหล่านี้ถูกย้ายออกมาเพื่อรอสร้างเขื่อน พวกเขายังอาศัยอยู่ตรงทางเข้าอุทยานจนถึงทุกวันนี้
3. นกยูงที่แก่งลานนกยูง แท้จริงแล้ว ก็ถูกจับมาเลี้ยงสร้างภาพ ไม่เคยมีนกยูงบริเวณนั้น
4. การมีเขื่อน จะทำให้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ป่าไม้จะชอุ่ม สัตว์จะได้มีอาหารมากขึ้น ประชาชนจะได้ทั้งชลประทาน แก้น้ำท่วม ฝนแล้ง ประมง ประปา ผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย รวมทั้งการท่องเที่ยวที่จะสมบูรณ์มากขึ้น
5. ทุกวันนี้ประชาชนเดือดร้อนหนัก ต้องขุดบ่อบาดาลที่มีแต่ขี้เหล็ก ดื่มไม่ได้ รดน้ำได้อย่างเดียว ฝนแล้ง น้ำท่วม รัฐบาลก็ชดเชยให้ไร่ละ 1-2,000 บาท นำเงินส่วนนี้มาสร้างเขื่อนได้เลย
6. ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 79% ต้องการเขื่อน ยิ่งถ้าเป็นชาวนาก็แทบจะ 100% เราควรเชื่อภูมิปัญญาชาวบ้าน อย่าไปเชื่อความดรามาของ NGOs เลย
โปรดอ่านเพิ่มเติมที่ www.maewongdam.blogspot.com
ป้อมมหากาฬ อย่าให้ใครปล้น
เรื่องนี้ดูประหนึ่งรัฐบาลรังแกประชาชน ไล่ที่ชาวบ้านผู้ยากจนและน่าสงสาร แต่ความจริงกลับเป็นเรื่องของผู้อยากได้ผลประโยชน์อย่างขาดความน่าละอายหรือไม่
1. นับตั้งแต่มีมติให้ฟื้นฟูป้อมมหากาฬเมื่อปี 2502 ซึ่งหลายท่านยังไม่เกิด ก็มีบ้านอยู่เพียง 20 หลัง และทะยอยโอน-ขายให้กรุงเทพมหานคร แต่โดยที่กระบวนการต่าง ๆ ค่อนข้างช้า ก็เริ่มมีผู้บุกรุกเข้ามาใหม่จนมีเป็นร้อยครอบครัวในภายหลัง นี่จึงไม่ใช่ชุมชนโบราณที่เกิดมานับร้อยปีแบบชุมชนบ้านบุ ชุมชนนางเลิ้ง ชุมชนบ้านครัว หลายคนในนี้ย้ายออกไปแล้ว ได้รับการจัดหาที่อยู่ไปแล้ว รับเงินไปแล้ว แต่ย้ายกลับมาเรียกร้องผลประโยชน์อีก
2. คนที่อยู่นี้ มีทั้งที่ขายสินค้าหมิ่นเหม่กฎหมาย หาซื้อได้อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายได้ที่นี่เป็นหลัก เช่น พลุ ดอกไม้ไฟ บ้างก็ให้เช่าบ้านบ้าง พวกนี้ไม่มีหิริโอตตัปปะหรือไม่ที่อยู่ฟรีมา 50-60 ปี ยังจะอยู่ต่อไปอีกชั่วกัลปาวสาน อย่างนี้เป็นการเอาเปรียบสังคมหรือไม่
3. บ้างก็เอาเรื่องเท็จมาปั้นแต่ง เช่น มีบ้านตระกูลอึ๊งภากรณ์อยู่ในนี้ เป็นบ้านทรงไทย และ ดร.ป๋วย เคยอยู่ ทั้งที่บ้านหลังนั้น เป็นของคนอื่น เพียงแต่คนในสกุล "อี๊งภากรณ์" มาเป็นสะใภ้เท่านั้น ตระกูล ดร.ป๋วยก็เคยออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่จริง ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เจ้าของบ้านรับเงินไปแล้ว และจะรื้อบ้าน แต่พวกผู้บุกรุกขาดคุณธรรมเหล่านี้กลับไม่ยอมให้รื้อ ทั้งที่ไม่ใช่บ้านของตนเอง อ้างว่ามีลายฉลุเฉลาต่างๆ ซึ่งความจริงแกะไปขายกันหมดแล้ว
โปรดอ่านความจริงในแง่มุมต่าง ๆ ได้ที่ http://bit.ly/2cg9W3y พร้อมบทความที่เกี่ยวเนื่องอื่น
ทั้งหมดที่ผมเล่าให้ฟังนี้เป็นความจริง ผมไม่ได้เข้าข้างคนผิด เข้าข้างนายทุน จุดยืนของผมอยู่ที่ประชาชนโดยเฉพาะประชาชนส่วนใหญ่รอบเหมืองทองคำ และใกล้เขื่อนแม่วงก์ ส่วนคนบุกรุกที่ป้อมมหากาฬ เหลืออยู่ไม่ถึง 10 ครัวเรือน และล้วนไม่ใช่เจ้าของที่ ไม่ใช่เจ้าของบ้าน พวกนี้ไม่ใช่ไพร่ของคนเสื้อแดง ไม่ใช่มวลมหาประชาชนของ กปปส. แต่เป็นผู้ที่เอาเปรียบ หวังครองสมบัติของคนทั้งชาติหรือไม่ ก็ต้องลองตรองกันดูครับ
ช่วยพี่น้องประชาชนด้วยครับ อย่าให้พวกดรามาครองเมือง