ตลกร้ายในวงการศึกษาอสังหาริมทรัพย์ก็คือคนแห่ไปเรียนวิชาอสังหาฯ กับเหล่าบิ๊กนักพัฒนาที่ดินรายใหญ่ที่นับวันจะกินส่วนแบ่งตลาดไปถึง 84% เข้าไปแล้ว นัยว่าเขาเก่ง และจะได้มีคอนเนกชั่น ผมขอช่วยเรียกสติและลองให้คิดมองต่างมุมบ้าง
1. เป็นเรื่องตลกจริง ๆ ที่คิดว่าจะเรียนรู้วิชาอสังหาฯ กับเหล่าบิ๊กๆ ที่หลายท่านอาจไม่ทราบว่า ตอนนี้กินส่วนแบ่งตลาดไปแล้วถึง 84% ของโครงการเปิดใหม่ ในปี 2559 ตามที่ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้สำรวจไว้ (http://bit.ly/2kIyV7j) การไปเรียนกับรายใหญ่แบบนี้จะได้เคล็ดวิชาเอาไปรับมือกับพวกเขาได้หรือ
2. บิ๊กๆ เหล่านี้เก่งอย่างไม่ต้องสงสัย จึงสามารถผ่านวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนมาได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะเก่ง ต้องทั้ง "เก่งและเฮง" ด้วย เพราะที่เก่งอย่างเดียวนั้น "เจ๊ง" ไปแล้ว หรือยังดิ้นรนอยู่ในตลาดอย่างเหนื่อยหนัก ไม่ได้กินเค้กก้อนใหญ่ที่ถูกอุ้มชูโดยรัฐบาล (ทุกรัฐบาล) ที่คอยกระตุ้นให้ชาวบ้านมาซื้อบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงให้บิ๊กๆ หรอก ถามบิ๊กๆ ก็ยังมีต้นทุนการเงินที่แสนถูกอีกต่างหาก
3. วิชาอสังหาฯ ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนหรือลึกล้ำสุดหยั่งคาดอะไร ดังนั้นการหวังจะได้รู้อะไรลึกซึ้งจากบิ๊กๆ "ซื้อแป๋" "กูรู" มาช่วย "เป่ากระหม่อม" จึงเป็นการคิดอย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์แต่แรก แล้วความ สำเร็จจะมาได้อย่างไรในอนาคต
4. คอนเนกชั่นก็ไม่ต้องลึกซึ้งอะไรนักหรอกในธุรกิจพัฒนาที่ดิน ไม่ต้องพากันไปตีกอล์ฟหลุม 19 พวกหวังคอนเนคชั่นส่วนมาก เขาเอาไว้ไต่เต้า สร้างเครือข่ายแบบ "ร.พ.ช." ("รวมพวกชั่ว") ต่างหาก การมีหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงในบางประเทศอาจกลายเป็นแหล่งสร้างเครือข่ายให้พวกชั่วได้รู้จักกัน จะได้ร่วมกัน "โกง" มากกว่าจะร่วมกันสร้างสรรค์ชาติ
ถ้าคนที่จะเข้าสู่วงการพัฒนาที่ดินยังคิดแบบเดิมๆ แล้วจะไปรับมือกับคู่แข่งบิ๊กเนมได้ไง เราต้องอาศัย
1. ความได้เปรียบที่เรามีขนาดเล็ก คล่องตัวกว่า
2. ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ซึ่งนักพัฒนาที่ดินทั่วไปมักมองข้าม
3. ความรู้ทางการเงิน และการตลาดเพื่อการวางแผนและคาดการณ์อนาคต
4. ความรู้ด้านการบริหารจัดการในการบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
5. รู้จักการร่วมทุน การใช้เทคนิคการจัดรูปที่ดินแทนการซื้อที่ดิน
6. ในยุคสมัยใหม่ต้องมีแนวคิดปฏิวัติ ไม่ใช่ศิโรราบต่อบิ๊กๆ ไม่ใช่ไปตีซี๊เชิดชูบิ๊กๆ ที่ครองส่วนแบ่งตลาดจนแทบหมดแล้ว
7. ความรู้อสังหาริมทรัพย์พื้นฐานที่ต่างจากสังหาริมทรัพย์อื่นเพราะติดตรึงกับทำเล ไม่มีใครจะครอบงำตลาดได้ เช่น โค้ก/เป๊ปซี่
8. และอาศัยจิตใจที่กว้างขวาง ไม่ใช่หวังแต่จะเอา จะได้ กลัวเสียเปรียบ มองไกลแค่ปลายจมูก
การที่ผมมองต่างมุมนี้ บางท่านอาจมีข้อข้องใจผมในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า:
1. ผมอิจฉาเขาหรือ ผมขอเรียนตามความสัตย์ว่าหามิได้ แน่นอนว่าคนมาเรียนกับผมมีจำนวนน้อยกว่าแม้ผมจะเก็บค่าเรียนถูกกว่า แต่ผมดูแลผู้เรียนดั่งลูกค้าผู้มีคุณ ไม่ใช่ศิษย์ จึงยกมือไหว้ทุกครั้งที่พบเห็นเขาก่อน แม้ผมจะสอนแทบทุกมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ ป.ตรี-เอก ก็ไม่เคยใช้สถานะเอาทั้งเงินทั้งกล่อง
2. ผมไม่พัฒนาที่ดิน จะสอนเขาได้หรือ ได้แน่นอนครับ ผมทำวิเคราะห์วิจัยเป็นที่ปรึกษาให้โครงการมากมาย ไม่เคยทำให้โครงการไหนเจ๊งเลย มีแต่ประสบความสำเร็จอย่างนี้ พอมั่นใจได้ไหมครับ (ผมไม่พัฒนาที่ดิน ไม่เป็นนายหน้าเพื่อความเป็นกลางโดยเคร่งครัด)
3. แล้วความรู้การพัฒนาที่ดินล่ะ ข้อนี้สำคัญเพราะผมคัดคนที่มาสอนจากคนที่ทำงานสำเร็จมากับมือทั้งรายเล็ก รายกลางและรายใหญ่ ไม่ได้ทำโดยใช้ลูกน้องหรือคอนเนกชั่นใด ๆ ผู้เรียนจึงนำความรู้ไปใช้ได้จริง
ผมเขียนนี่ไม่ได้หวังโฆษณานะครับ ผมไม่คิดที่จะให้ใครมาเรียนกันมากมายแบบนั้นแน่นอนครับ ประสิทธิผลสำคัญที่สุดครับผม ผมหวังสนับสนุน SMEs นักพัฒนาที่ดินเพื่อผู้บริโภคจริงๆ โดยเริ่มต้นที่ความคิดปฏิวัติที่ไม่ยอมจำนนครับ