ดร.โสภณ ชี้สินค้าบ้านเรียงตามประเภท ระดับราคาและทำเลที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะขายได้ช้ามาก จนน่าจะ "ไม่รอด"
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ชี้ให้เห็นว่ามีสินค้าที่ขายได้ยากและไม่ควรเลียนแบบ แยกตามประเภท ระดับราคาและทำเล ถือเป็น "ข้อเตือนใจ" ว่าไม่ควรพัฒนาสินค้าเหล่านี้โดยเด็ดขาด ยกเว้นจะมีกลยุทธ์การตลาดและการขายที่เป็น "ทีเด็ด" จริงๆ จึงอาจจะประสบความสำเร็จ
ลักษณะโครงการที่มีแนวโน้มไม่สำเร็จ เป็นดังนี้:
บ้านเดี่ยว ราคาประมาณ 3.001-5.000 ล้านบาท ในทำเล E7: สุขาภิบาล 2, 3 ซึ่งมีอยู่จำนวน 117 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 6 หน่วย มีเหลือถึง 111 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 29 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 0.7% ต่อเดือน เพราะรูปแบบอาจไม่สวยงาม
บ้านเดี่ยว ราคาประมาณ >20.000 ล้านบาท ในทำเล K1: พระรามที่ 2 กม.1-10 ซึ่งมีอยู่จำนวน 157 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 7 หน่วย มีเหลือถึง 150 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 312 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 0.9% ต่อเดือน เพราะราคาขายสูงเกินไป
บ้านแฝด ราคาประมาณ 1.001-2.000 ล้านบาท ในทำเล E3: หนองจอก ซึ่งมีอยู่จำนวน 270 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 7 หน่วย มีเหลือถึง 263 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 10 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 0.5% ต่อเดือน เพราะเป็นโครงการเก่าที่เหลือมานาน
บ้านแฝด ราคาประมาณ 3.001-5.000 ล้านบาท ในทำเล H1: บางนา-ตราด กม.1-10 ซึ่งมีอยู่จำนวน 116 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 6 หน่วย มีเหลือถึง 110 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 25 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 1.3% ต่อเดือน เพราะราคาสูงเกินความเหมาะสมในพื้นที่
ทาวน์เฮาส์ ราคาประมาณ 5.001-10.000 ล้านบาท ในทำเล E1: หทัยราษฎร์ ซึ่งมีอยู่จำนวน 202 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 8 หน่วย มีเหลือถึง 194 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 45 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 0.2% ต่อเดือน เพราะราคาขายสูงเกินไป
ตึกแถว ราคาประมาณ 2.001-3.000 ล้านบาท ในทำเล K3: มหาชัย-เศรษฐกิจ ซึ่งมีอยู่จำนวน 113 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 3 หน่วย มีเหลือถึง 110 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 9 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 0.8% ต่อเดือน เพราะคงอยู่ในทำเลที่ไม่เหมาะสมนัก
ตึกแถว ราคาประมาณ 5.001-10.000 ล้านบาท ในทำเล K6: วงแหวนรอบนอก-เพชรเกษม ซึ่งมีอยู่จำนวน 126 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 4 หน่วย มีเหลือถึง 122 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 21 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 1.6% ต่อเดือน คงเพราะตั้งราคาสูงเกินไป
ห้องชุด ราคาประมาณ < 0.500 ล้านบาท ในทำเล G4: ศรีนครินทร์-อุดมสุข ซึ่งมีอยู่จำนวน 516 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 8 หน่วย มีเหลือถึง 508 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 3 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 1.4% ต่อเดือน เพราะเป็นโครงการห้องชุดเก่าๆ ที่ไม่เป้นที่นิยม
ที่ดินจัดสรร ราคาประมาณ 0.500-1.000 ล้านบาท ในทำเล H8: บางนา-ตราด กม.10-30 ซึ่งมีอยู่จำนวน 90 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 2 หน่วย มีเหลือถึง 88 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 2 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 0.2% ต่อเดือน เพราะเป็นสินค้าที่สถาบันการเงินมักไม่อำนวยสินเชื่อ
ที่ดินจัดสรร ราคาประมาณ 1.001-2.000 ล้านบาท ในทำเล M5: สาย7 ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม ซึ่งมีอยู่จำนวน 142 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 0 หน่วย มีเหลือถึง 142 โดยขายไม่ได้เลย เพราะเป็นสินค้าที่สถาบันการเงินมักไม่อำนวยสินเชื่อ
ที่ดินจัดสรร ราคาประมาณ 2.001-3.000 ล้านบาท ในทำเล H8: บางนา-ตราด กม.10-30 ซึ่งมีอยู่จำนวน 520 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 6 หน่วย มีเหลือถึง 514 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 16 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 0.5% ต่อเดือน เพราะเป็นสินค้าที่สถาบันการเงินมักไม่อำนวยสินเชื่อ
ที่ดินจัดสรร ราคาประมาณ 3.001-5.000 ล้านบาท ในทำเล H9: บางนา-ตราด กม.30 ขึ้นไป ซึ่งมีอยู่จำนวน 97 ณ สิ้นปี 2559 ขายได้เพียง 3 หน่วย มีเหลือถึง 94 หน่วย โดยมีมูลค่าการพัฒนาที่ขายได้แล้วเพียง 12 ล้านบาท และมีอัตราการขายต่อเดือนค่อนข้างต่ำคือ 0.8% ต่อเดือน เพราะตั้งอยู่ไกลมาก ราคาค่อนข้างสูง
ดังนั้นสินค้าข้างต้นจึงเป็นสินค้าที่พึงให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ หากคิดจะพัฒนาโดยนักพัฒนาที่ดิน จะอำนวยสินเชื่อโดยสถาบันการเงิน หรือจะคิดซื้อโดยนักลงทุนหรือผู้ซื้อบ้านทั่วไป