การที่คะแนนความโปร่งใสของไทยในปี 2559 ต่ำกว่าปี 2558 และ 2557สะท้อนภาพที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในด้านความโปร่งใสและการทุจริต
การที่ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันประจำปี 2559 (Corruption Perceptions Index 2016) ผลคะแนนภาพลักษณ์คอร์รัปชันโลกประจำปี 2559 ประเทศไทยคะแนน 35 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ต่ำกว่าคะแนนในปี 2537 และ 2538 ที่ได้ 3.8 คะแนนมา 2 ปีซ้อน (http://bit.ly/20nFpHE) สะท้อนให้เห็นอย่างไร ข้อนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้ให้ข้อสังเกตไว้ดังนี้
1. ในปี 2557 ส่วนหนึ่งยังอยู่ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ และคะแนนปี 2557 เผยแพร่ออกมาในช่วงราวไตรมาสที่ 3 ซึ่งแสดงว่าเป็นผลพวงการทำงานในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ส่วนคะแนนในปี 2558 เพิ่งจัดทำเสร็จและเผยแพร่ในเดือนมกราคม 2559
2. การที่คะแนนปี 2557 และ 2558 เท่ากัน ในแง่หนึ่งแสดงให้เห็นว่าหากจะกล่าวว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์โกง ไม่โปร่งใส รัฐบาลประยุทธ์ ก็คงอยู่ในสถานะเดียวกัน เพราะได้คะแนนเท่ากัน
3. ในทางตรงกันข้าม หากคิดว่ารัฐบาลประยุทธ์ทำดีด้านการแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ได้คะแนนเท่ากัน ก็มีความโปร่งใสเฉกเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามในระยะที่ผ่านมา แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันจะพยายามประกาศต่อสู้กับการทุจริตและประพฤติมิชอบ แต่ก็ยังมีปรากฏอยู่เนือง ๆ ดร.โสภณ ให้ข้อสังเกตว่า การทุจริตอาจกลายเป็น "เหตุการณ์ปกติ" ไปแล้ว โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชการ (บางส่วน) ที่:
1. ขาดแนวคิดรับใช้ประชาชน เห็นประชาชนเป็นผู้อยู่เบื้องล่าง ข้าราชการกลายเป็นเจ้าคนนายคน เข้าทำนอง "สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง" ซึ่งหมายถึงพ่อค้าหลายคนอุปภัมภ์ค้ำชู ก็ยังเทียบไม่ได้กับคนที่รับราชการตำแหน่งใหญ่โตเพียงคนเดียวที่เลี้ยงดู ทั้งนี้ในสมัยโบราณการรับราชการเป็นขุนนางนั้นถือเป็นสิ่งที่ดีงามและหลายๆคนอยากเป็น เพราะมีความมั่นคงและมีเงินเดือนที่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อมีตำแหน่งใหญ่โต ก็จะมีอำนาจตามมาด้วย แต่พ่อค้าคนไทยสมัยก่อนนั้น ยังค้าขายไม่เก่ง มีความเสี่ยงที่จะหมดตัวได้ การที่มีคู่ครองเป็นคนที่รับราชการตำแหน่งดีๆ จึงน่าหมายปองกว่าพ่อค้า (http://bit.ly/1PT7dyy)
2. การไต่เต้ามาจากระบบ "ด.ว.ง." ไม่ใช่ดวงดีหรือไม่ดี แต่หมายถึงว่าต้องขึ้นอยู่กับเป็น ด.เด็กของใคร ว.วิ่งหรือไม่ และ ง.เงินถึงหรือเปล่า หากมี ด.ว.ง.แล้ว โอกาสที่จะได้ตำแหน่งใหญ่โต ก็จะเกิดขึ้น และการถอนทุนแบบที่กล่าวถึงนักการเมือง (ข้าราชการการเมือง) ก็เกิดขึ้นในหมู่ข้าราชการประจำเช่นกันและกว้างขวางกว่าเสียอีก
หากประเทศชาติไม่อาจขจัดปัญหาทุจริตได้ ประเทศชาติก็คงจะเจริญได้ยากอย่างแน่นอน ในแง่หนึ่งในยุคที่รัฐบาลที่บอกว่าไม่โกงกิน แต่ประเทศชาติไม่เจริญ ก็แสดงว่า (แอบ) โกงกินอยู่จนชาติไม่เจริญ ในทางตรงกันข้ามหากกล่าวหารัฐบาลใดว่าโกงกิน แต่ประเทศชาติเจริญ ก็อาจตีความได้ว่าแท้จริงแล้วอาจไม่ได้มีการโกงกันดังคำโพทะนา อาจเป็นแค่การบิดเบือนใส่ร้าย เป็นต้น
พอมาถึงปี 2559 ปรากฏว่าคะแนนความโปร่งใสกลับทรุดต่ำลงไปเหลือ 3.5 แสดงให้เห็นว่า ภายใต้การปกครองแบบเบ็ดเสร็จนั้น ในแง่หนึ่งก็จะดีในแง่ความรวดเร็ว แต่ก็จะมีข้อเสียตรงอาศัยเส้นสายมากกว่าการเลือกตั้งมาจากประชาชน ทำให้เกิดการระบาดของการฉ้อราษฎร์บังหลวงหนักข้อเข้าไปอีกโดยไม่สามารถตรวจสอบใด ๆ ได้เลยเพราะบุคคลเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ทำหน้าที่นิติบัญญัติ พร้อมพนักงานเทกระโถนอีกเป็นฝูง หรือฝ่ายบริหารพร้อมพนักงานเทกระโถนอีกมหาศาล ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบใด ๆ ได้
หากสถานการณ์เป็นอย่างนี้ไปอีกนานๆ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศชาติเสื่อมทรุดลงได้ ความโปร่งใสกับประชาธิปไตยไปด้วยกัน การวิเคราะห์นี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะหรือปัจจัยที่แทนด้วยตัวแปรตั้งแต่สองตัวแปรขึ้นไป เพื่อให้ทราบถึงความสัมพันธ์ ทิศทางความสัมพันธ์ และลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการวิเคราะห์โดยอาศัยค่าที่ทราบจากตัวแปรหนึ่ง แล้วนำไปพยากรณ์ค่าของอีกตัวแปรหนึ่ง ว่ามีความแปรผันในสัดส่วนเท่าใดหรือในระดับใดนั่นเอง และโดยที่มีเพียง 2 ตัวแปร จึงใช้แบบ Simple Regression Analysis ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเพียง 2 ตัวว่าการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรหนึ่งส่งผลต่ออีกตัวแปรหนึ่งอย่างไรในลักษณะที่เป็นเส้นตรง (Linear)
ในการให้คะแนนความโปร่งใส และคะแนนประชาธิปไตยใน 150 ประเทศนั้น สมมติให้คะแนนอันดับ 1 เท่ากับ 10 คะแนน ส่วนอันดับสุดท้ายได้ 1 คะแนน นอกนั้นก็เรียงลำดับกันไป เพื่อจะได้นำคะแนนของทั้งสองตัวแปรนี้มาวิเคราะห์ดูว่ามีความสัมพันธ์กันเพียงใด และจากการวิเคราะห์การถดถอยพบว่าค่า R Square หรือค่าสัมประสิทธ์ของการตัดสินใจ (Coefficient of Determination) อยู่ที่ 0.743175 หรือประมาณ 74% และค่าเลขนัยสำคัญ (Significant F) หรือตัวเลขที่ได้จากการวัดเกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นจึงอาจพอสรุปได้ว่าความโปร่งใสกับประชาธิปไตยมีความสัมพันธ์กัน
โดยนัยของการวิเคราะห์นี้ จึงอาจอนุมานได้ว่า หากประเทศที่มีการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ความโปร่งใสก็จะน้อย เพราะตรวจสอบไม่ได้ หากใครไปตรวจสอบก็อาจพบกับ "เภทภัย" จากผู้มีอำนาจเผด็จการ เป็นต้น และยิ่งประเทศใดอยู่ในภาวะที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนานเข้า ก็ยิ่งจะมีความโปร่งใสน้อยลง บรรดาผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีอำนาจวาสนายศศักดิ์ (ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง) ก็ยิ่งคุ้นเคยและเสพติดอำนาจ ทำให้ประเทศยิ่งจะเลวร้ายลงนั่นเอง
ท่านนายกฯ ต้องเร่งสร้างสรรค์ประชาธิปไตยตามที่วางโรดแมปไว้เพื่ออนาคตของประเทศ และเมื่อเป็นสังคมประชาธิปไตยมากขึ้น ประเทศก็จะเจริญขึ้น มีคนมาลงทุนกันมากขึ้น ดูอย่างพม่า ฟิลิปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นตัวอย่างได้