บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม 2560
ว่ากันว่า คนเราต้องมองอะไรในแง่ดีไว้บ้างนะครับ เรามาลองมองกันดูว่า ถ้าวันนี้ปูยังอยู่ ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ในแง่ดี ๆ นะครับ ส่วนที่ว่าทุจริตอะไรนั่น จะเป็นจริงหรือไม่ ผมก็สุดปัญญายืนยัน เพราะกรรมการกับฝ่ายศัตรูปูเป็นพวกเดียวกัน จึงอาจไม่แน่ชัดว่าความจริงคืออะไรนั่นเอง ผ่านมา 3 ปีแล้ว เมืองไทยภายใต้รัฐบาลปูจะเป็นอย่างไร
ประการแรกที่พอเห็นได้ชัดก็คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงที่ไทยจะสร้างเชื่อมกับยูนาน ลาว อีสาน และ กรุงเทพมหานคร คงจะเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมากขึ้น เพราะก่อนหน้าจะมีรัฐประหาร ก็ปรากฏว่ารัฐมนตรีชัชชาติที่เป็นรัฐมนตรี "ทรงพลังที่สุดในโลก" กำลังเตรียมทำโครงการต่าง ๆ อยู่อย่างขะมักเขม้น ป่านนี้รถไฟฟ้าความเร็วสูงเส้นแรกคงเป็นรูปเป็นร่าง โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บ้านจัดสรร หรืออะไรต่อมิอะไรที่จะเป็นสิ่งกระตุ้นต่อเนื่องก็คงเกิดตามกันมา เผลอ ๆ อาจไม่เกิน 2 ปีนับจากวันนี้ เราก็คงได้ใช้รถไฟความเร็วสูงไว้ขนทั้งคนขนทั้งผักกันแล้ว ประเทศก็คงอยู่ในภาวะ High Hope
แต่พอไม่มีรถไฟความเร็วสูง ก็ปรากฏว่าโครงการพัฒนาเกี่ยวเนื่องต่าง ๆ พากันหดตัวไปหมด อย่างเช่น ในอุดรธานี ขอนแก่น โคราช บริษัทมหาชนและบริษัท "มหานาค" ทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทใน "ตลาดหลักสี่" ต่างก็ซูบไปหมด บมจ.แอลพีเอ็น เจ้าตลาดห้องชุดระดับล่างก็ยังเหนื่อยเหมือนกัน ดีที่มีการบริหารชุมชนที่ดี ยังมีลูกค้าเหนียวแน่น แสนสิริก็ประกาศหยุดโครงการที่โคราชเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ยังไม่รวมโครงการรายย่อยอื่น ๆ ที่เป็น "SMEs" ที่ประสบปัญหาในการขาย เรียกได้ว่าในห้วงปี 2558-2559 ที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดมีภาวะที่แผ่วเบาจริงๆ เพราะอุปทานเก่ายังขายไม่ได้
ประการต่อมา ชาวนาในต่างจังหวัดก็คงยังมีความสุข เพราะแม้ราคาข้าวที่ประกันจากที่เคยเป็น 15,000 บาทต่อเกวียนหรือต่อตัน จะลดเหลือ 13,000 บาท หรืออาจลดต่อไปเหลือ 10,000 บาท ก็ยังมากกว่าราคาข้าวหลังการประกันราคาข้าวที่เหลือเพียง 7,500 บาทมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจชนบทซบเซาลงเป็นอย่างมาก ชาวบ้านค่อนประเทศซึ่งอยู่ในชนบท จึงหมดความสุข หรืออีกนัยหนึ่งความสุขจึงไม่ได้กลับคืนมาดังแต่ก่อนในยุคปูนั่นเอง
สิ่งที่ตามมาก็คือ แม้แต่ร้านสะดวกซื้อชื่อดังในต่างจังหวัด ก็ยังไปต่อไม่ไหว บางร้านถึงกับปิด บางร้านที่มีผู้ "รับหน้าเสื่อ" ไปทำ ก็ต้อง "ส่งไม้ต่อ" ให้บริษัทแม่ทำแทน ทนรับภาวะที่แทบหากำไรไม่ได้ ไม่ได้อีกต่อไป ภาวะแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุครัฐบาลปู ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันในชนบทจึงค่อนข้างวังเวง ภาคที่กลับเติบโตก็คือข้าราชการที่ได้รับการขึ้นเงินเดือนกันแทบทุกหมู่เหล่าเป็นระลอก ๆ จึงกลายเป็นว่าชาวบ้านกินน้ำใต้ศอกพวกข้าราชการไปเสียนี่
ประการที่สาม การใช้จ่ายเงินจะมีประสิทธิภาพ เพราะสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งก็คือปูคงไม่กล้าฝืนกระแสสังคมซื้อเรือดำน้ำเป็นแน่แท้ ด้วยเหตุทีประชาชนคงไม่ยอม การใช้งบประมาณผูกพันไปซื้อเรือดำน้ำถึง 45,000 ล้านบาท ก็คงไม่เกิดขึ้นในยุคของปู เงินจำนวนนี้ยังสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาประเทศในทางอื่น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสาธารณูปโภค การจัดสวัสดิการสังคม การพัฒนาการศึกษา ฯลฯ
ประการที่สี่ก็คือ การค้าระหว่างประเทศจะมีมากขึ้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะสามารถออกไปค้าขายในสากลได้มากกว่านี้ ทำให้เราอาจขายยางได้มากขึ้น ทุกวันนี้แม้ราคายางจะดีจาก "สามโลร้อย" เป็นกิโลกรัมละ 80-90 บาท มาพักหนึ่งและตกลงไปอีกในปัจจุบัน แต่ก็ปรากฏว่ามาเลเซียสามารถขายยางได้ในราคาที่แพงกว่าไทย ดังนั้นถ้าปูยังอยู่ ก็คงสามารถส่งรัฐมนตรีไปค้าขายได้มากกว่านี้ ได้รับการต้อนรับมากกว่านี้
ในทางตรงกันข้าม เราอาจดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนมากขึ้น ปรากฏการณ์ที่นายแจ็กหม่าหนีไทยไปมาเลเซีย คงไม่เกิดขึ้น หรืออาจมีนักลงทุนใหม่ ๆ เข้ามาในไทยมากขึ้น เพราะบรรยากาศทางการเมืองของไทยดี (ยกเว้นจะมีการสร้างสถานการณ์ "Shut Down" แบบ "กวนน้ำให้ขุ่น") ถ้ามีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ก็ย่อมจะทำให้เศรษฐกิจ "ไปโลด" ได้มากขึ้นนั่นเอง
ผมฝันไปว่า ถ้าเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนที่มี "แก๊งกวนเมือง" ประกาศปิดกรุงเทพมหานครจนบอบช้ำไปทั่ว ไปทำพาสพอร์ตก็ต้องไปตั้งแต่ตีสอง ฯลฯ แล้ว ผบ.ทบ.ในสมัยนั้นประกาศกฎอัยการศึก ให้ทุกคนหยุดชุมนุม แล้วให้ปูได้ทำงานต่อไป (ส่วนข้อกล่าวหาทุจริตก็ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมปกติที่ไม่ถูกอำนาจปืนควบคุม) ป่านนี้ประเทศไทยของเราก็คงเป็น "พยัคฆ์ติดปีก" ไปแล้ว
แต่ความจริงตอนนี้ ประเทศไทย และประชาชนไทยยากจนลง กลายเป็นการขาดอิสรภาพทางการเงิน ต้อง "กินน้ำใต้ศอก" ข้าราชการ แบบนี้ส่วนหนึ่งอาจควบคุมประชาชนด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจได้ แต่ก็ทำให้เกิดภาวะถดถอยแก่ประเทศไปได้ ยิ่งกว่านั้นการทุจริตหลังจากไม่มีนักการเมืองมา 3 ปี ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงแต่อย่างไร
ดังนั้นชาวไทยผู้รักชาติทุกคนจึงต้องช่วยกันประคับประคองประเทศชาติของเราให้ดีขึ้นให้ได้นะครับ