เห็นท่านนายกฯ เป็นห่วงว่าการเลือกตั้งและประชาธิปไตยจะไม่ดีต่อบ้านเมือง ผมขออนุญาตมองต่างมุมว่าประชาธิปไตย แก้ไขได้ทุกสิ่ง ไม่ว่าปัญหาบ้าน-ที่อยู่อาศัย เมือง หรือปัญหาบ้านเมือง
ก่อนอื่น ผมขอตอบปัญหา 4 ข้อของท่านนายกฯ ก่อน ดังนี้
1. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ ตอบว่า น่าจะได้เพราะโปร่งใสกว่าไม่ได้ยึดอำนาจมาแล้วพาพวกมารับลาภยศสักการะทั้งในรัฐบาลและในสภาโดยประชาชนไม่ได้รับรู้ด้วย ถือว่าขาดธรรมาภิบาล
2. หากไม่ได้ จะทำอย่างไร ตอบว่า กลไกมีอยู่ ทั้งทางนิติบัญญัติและทางศาล ที่ไต้หวัน เกาหลี บราซิล ฯลฯ เขาก็ใช้การเมืองแก้ ไม่ใช่ใช้กำลังอาวุธซึ่งผิดกฎหมาย
3. การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง ตอบว่าในประเทศที่บ้านเมืองแตกแยกหนักจนเกิดสงครามกลางเมือง จน UN ต้องเข้าไปจัดเลือกตั้งให้แปลว่าการเลือกตั้งจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ยุทธศาสตร์ที่พวกท่านทำเองโดยไม่เห็นหัวประชาชนนั้น ดีจริงหรือ
4. ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร ตอบว่า ท่านหมายถึงคนไหนที่ไม่ดี ระบุให้ชัด ท่านเป็นเจ้าชีวิต ตัดสินใครดีชั่วได้หรือ พวกท่านบริหารประเทศมานาน ดัชนีทุจริตก็หนักกว่าเก่า แปลว่าอะไรครับผม อันที่จริง เรื่อง "พฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี" ท่านนายกฯ แสดงออกมากกว่านักการเมืองนะครับ ทั้งโยนกล้วย ด่าว่านักข่าว พูดคำหยาบ ฯลฯ ญาติและคนใกล้ชิดก็มีพฤติกรรมไม่โปร่งใสไหมครับ
อย่างการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก แนวทางที่ดีที่สุดก็คือ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครใหม่ เพราะที่เป็นอยู่ ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล เหตุผลที่เสนอให้เลือกตั้งนั้น ก็เพื่อให้ประชาชนตัดสิน ในระบอบประชาธิปไตย ข้าราชการต้องรับใช้ประชาชน ต้องคิดหานโยบายและแผนมาช่วยแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชน แต่ถ้าเป็นกรณีของผู้ถูกแต่งตั้ง ก็คงมุ่งแต่เอาใจผู้แต่งตั้ง มาทำงานการเมืองช่วยค้ำเก้าอี้ของผู้แต่งตั้ง แถมที่แต่งตั้งมานี้ก็เป็นเด็กของ ปชป. แทบทั้งกระบิ
บางคนอาจเถียงว่า น้ำท่วมเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน จะไปรอการเลือกตั้งไหวหรือ แต่แท้จริงแล้วปัญหานี้เกิดซ้ำซากอยู่อย่างต่อเนื่องไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้าอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นถ้ามีการเลือกตั้งย่อมทำให้ผู้สมัครพยายามระดมพลพรรคและสมอง หาทางแก้ไขมานำเสนอต่อประชาชน ทำให้มีการแก้ไขที่รัดกุมยิ่งขึ้น ในอนาคตเมื่อประชาชนมีอำนาจในการตัดสินใจมากขึ้นก็เป็นไปได้ที่ผู้ว่าที่มาจากการเลือกตั้งจากชิงลาออกไปเองหากไม่สามารถแก้ไขได้ตามที่สัญญากับประชาชน แต่ถ้าผู้ว่าฯ ที่มาจากการแต่งตั้งก็ย่อมไม่แคร์ประชาชนอยู่แล้ว
การยึดหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และการคืนประชาธิปไตยไปสู่ประชาชนให้ประชาชนได้ตัดสินอนาคตของตนเอง ถ้าประชาชนตัดสินใจผิด เขาก็จะได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เขาก็คงไม่ออกมาโวยวายอะไรนักเพราะเขาตัดสินใจเอง แต่ถ้าประชาชนตัดสินใจถูกต้องประเทศชาติก็จะเดินหน้าต่อไป ประชาชนมีสิทธิ์ในการคิดและศึกษาเรียนรู้ เพื่อให้เกิดพุทธิปัญญา โดยไม่ควรให้ใครมาจูงจมูก เพราะเท่ากับไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั่นเอง
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราอยู่ในคุก (ทางความคิด) ที่มี "ผู้คุม" สั่งด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาดโดยคนคุกไม่อาจโต้แย้ง ก็คงไม่ต้องการประชาธิปไตย ต้องการแต่กำลังอาวุธโดยพวก "ขาใหญ่"ในการปกครอง สังคมแบบนั้น ไม่ต้องการการเลือกตั้ง อาจมีการแต่งตั้งและการอาสาทำดี (ที่ดูน่ารักๆ) เช่น นายชูวิทย์ ที่อาสาไปทำดีเก็บศพในคุก เป็นต้น "ขาใหญ่" ก็มีหลายแก๊งหลายกลุ่ม ฟาดฟันหรือรวมพลังกันเพื่อผลัดกันชิงเป็นใหญ่ เราไม่ได้อยู่ในสังคมคนคุก มิใช่หรือ
ลองคิดดูว่าในวงการพัฒนาที่ดิน และนักวิชาชีพที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย หากให้มีบรรยากาศประชาธิปไตย คณะกรรมการสมาคมก็มาจากการเลือกตั้งเสรี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสรรพกำลังของ "ขาใหญ่" ในวงการ วงการก็จะสะอาดขึ้น แต่ละคนจะเข้ามาช่วยพัฒนาวงการ ช่องว่างการทุจริตก็จะไม่มี ผู้ใช้บริการก็อุ่นใจ วงวิชาชีพก็จะมีการพัฒนาทั้งทางวิชาการ เกียรติและศักดิ์ศรี เป็นต้น
เห็นหรือยังครับ ประชาธิปไตยคือคำตอบของสังคมอารยะ ยิ่งมีระเบิด ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง ยิ่งต้องจักการเลือกตั้ง ถ้าจะให้โปร่งใส เชิญ UN มาจัดเลือกตั้งก็ยิ่งดี