ไม่ควรมีข้อยกเว้นในการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
  AREA แถลง ฉบับที่ 243/2560: วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            การอ้างไม่เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากคนจน การอ้างว่าบ้านเป็นปัจจัยสี่จึงพยายามจะไม่เก็บภาษี ข้ออ้างต่างๆ ล้วนเป็นเท็จ ล้วนเพียงหาทางไม่เก็บภาษีคนรวย ก็เท่านั้น!!!

            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีทรัพย์สินและได้นำพาคณะข้าราชการไปดูงานและศึกษาระบบภาษีทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และอื่น ๆ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เปิดเผยว่า การอ้างต่าง ๆ ล้วนไม่เป็นเหตุเป็นผล เช่น

            1. อ้างว่าต้องการเก็บภาษีเฉพาะคนรวย ก็เลยออกแบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้เก็บตั้งแต่ราคา 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นการแสดงนัยว่าไม่ต้องการที่จะเก็บภาษีมากกว่า เพราะบ้านราคา 50 ล้านบาทขึ้นไปตามราคาประเมินราชการ ทั่วประเทศคงมีไม่เกิน 1,500 หน่วย

            2. อ้างว่าบ้านเป็นปัจจัย 4 จึงไม่พยายามที่จะเก็บภาษี ถ้าขืนมีการยกเว้นแบบนี้ ก็คงไม่ต้องมีภาษีนี้ และคงหาทางขึ้นภาษีอื่นเช่น VAT ซึ่งทุกคนก็จะเดือดร้อน แม้ไม่มีทรัพย์สินเลยก็ตาม

            3. อ้างว่าจะไม่เก็บภาษีบ้านหลังแรก ก็กลายเป็นการสร้างช่องทางให้คนหลบเลี่ยง ด้วยการโอนบ้านหลังที่ 2 ให้ลูกหลานไว้ก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีนั่นเอง

            4. อ้างว่าไม่มีกำลังทำฐานข้อมูลราคาประเมินให้สอดคล้องกับราคาตลาด จะได้ออกราคาประเมินราชการต่ำ ๆ เพื่อให้คนรวย ๆ ได้เลี่ยงภาษีได้ง่ายขึ้น

            อันที่จริงไม่ควรมีการยกเว้นเพราะจะทำให้จัดเก็บลักลั่น ไม่ทั่วถึง ควรให้ทุกส่วนในสังคมมีส่วนรับผิดชอบท้องถิ่น เป็นการส่งเสริมประชาธิปไตย และอาจลดภาษีทางอ้อมด้านอื่นแทน ปกติประชาชนคนเล็กคนน้อยที่มีจักรยานยนต์เก่า ๆ สัก 1 คัน ซึ่งมีสนนราคาประมาณ 30,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีรถปีละประมาณ 400-500 บาท หรือราว 1% อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครเดือดร้อนจนเกิดการเรียกร้องให้ยกเลิกหรือลดหย่อนใด ๆ

            ดังนั้นหากผู้มีรายได้น้อยที่มีห้องชุดราคาถูก ๆ ประมาณ 300,000 บาท ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 1% ก็เป็นเงินเพียง 3,000 บาท หรือ 250 บาท  ถูกกว่าค่าจัดเก็บขยะ หรือค่าส่วนกลางในการดูแลชุมชนเสียอีก และภาษีนี้เมื่อนำมาใช้เพื่อพัฒนาท้องถิ่น ก็จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเร็วกว่าภาษีที่ต้องเสียไปเสียอีก จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อประชาชนทั่วไปแต่อย่างไร

            แต่ปัญหาก็คือ คนที่มีรายได้สูง ๆ ไม่ต้องการเสียภาษีต่างหาก  เช่น หากมีบ้านราคา 10 ล้านบาท หากต้องเสียภาษี 1% ก็เป็นเงิน 100,000 บาท ยิ่งหากมีบ้านราคา 50 ล้านบาท ก็ต้องเสียภาษีปีละ 500,000 บาทนั่นเอง คนที่มีรายได้สูงๆ จึงพยายามให้มีการลดหย่อนภาษี เพื่อคนรวย ๆ จะได้ไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียภาษีให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั่นเอง ประเด็นปัญหาจึงอยู่ที่เรากำลังช่วยเหลือผู้มีรายได้สูง ซึ่งเป็นชนชั้นสูงในสังคมแต่ไม่ยอมรับผิดชอบต่อสังคมนั่นเอง

            ที่อยู่อาศัยทุกประเภท ถ้ามีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จึงควรจัดเก็บในอัตราเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้นหรือลดหย่อน เว้นแต่กรณีเฉพาะจริงๆ เช่น เป็นทหารผ่านศึกที่ทำคุณต่อประเทศชาติ เป็นต้น และถ้าหากรัฐเกรงว่า 1% จะมากเกินไป ก็จัดเก็บ ณ อัตรา 0.5% ก็ยังได้ แต่ไม่ใช่ 0.05% หรือ 0.01% ที่มีผู้พยายามเสนอ โดยมีเจตนาเพียงเพื่อเลี่ยงภาษีสุดชีวิตจิตใจนั่นเอง

            คนรวยๆ ช่างไม่รักชาติเอาเสียเลย แถมยังมีคนจะพยายามออกกฎหมายช่วยพวกเขาเลี่ยงภาษีเสียอีก น่าละอายโดยแท้

 

            ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เรียบร้อยแล้ว และเสนอให้มีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีนี้ในหลายกรณี ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เห็นว่า ไม่ควรมีการยกเว้นเพราะจะทำให้จัดเก็บลักลั่น ไม่ทั่วถึง ควรให้ทุกส่วนในสังคมมีส่วนรับผิดชอบท้องถิ่น เป็นการส่งเสริมประชาธิปไตย และอาจลดภาษีทางอ้อมด้านอื่นแทน

            สำหรับความคืบหน้านั้นร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างทำหนังสือเวียนแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเสนอไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อรอบรรจุเข้าวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอเข้าที่ประชุมได้ภายใน 2 สัปดาห์นี้ โดยภาษีดังกล่าวมีอัตราการจัดเก็บคือ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยไม่ประกอบการในเชิงพาณิชย์ จัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.1% ของฐานภาษี อัตราภาษีสำหรับอสังหาริมทรัพย์เกษตรกรรม จัดเก็บไม่เกิน 0.05%  นอกนั้นจัดเก็บไม่เกิน 0.5%

            อย่างไรก็ตามในร่างดังกล่าวให้มีการยกเว้น คือ ให้ยกเว้นแก่ที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 50 ตารางวาทั้งหลายและมีมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาทในพื้นที่สำคัญ (กรุงเทพมหานคร หัวเมืองใหญ่และหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เมืองพัทยา) ,uมูลค่าไม่เกิน 5 แสนบาทในพื้นที่เขตเทศบาล และมูลค่าไม่เกิน 3 แสนบาทในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบล

            จากการศึกษาการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในต่างประเทศ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส มีความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐบาลดังนี้:

            1. การจัดเก็บภาษีไม่ควรมีการยกเว้น ไม่ว่าจะขีดเส้นแบ่งที่มูลค่าทรัพย์สินเท่าใด ก็ยังทำให้เกิดความลักลั่นอยู่ดี อาจทำให้เกิดปัญหาการทุจริตด้วยการตีราคาให้สูงหรือต่ำเกินจริง กรณีที่ทรัพย์สินราคา 1,000,001 บาทในเขต กทม.และปริมณฑลที่ต้องเสียภาษีเพียง 0.1% นั้นก็เท่ากับเสียเพียง 1,000 บาทต่อปีหรือ 83 บาทต่อเดือนเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นภาระแก่ประชาชนแต่อย่างใด  การยกเว้นภาษีเป็นการสร้างระบบอุปถัมภ์ และเบื่อเบาไม่ให้ประชาชนเห็นว่าการเสียภาษีเป็นหน้าที่พลเมืองดี

            2. อัตราภาษีที่จัดเก็บไม่ควรจะต่ำจนเกินกว่าต้นทุนในการเรียกจัดเก็บ อย่างกรณีภาษีโรงเรือนในปัจจุบัน ผู้เสียภาษีบางรายเสียค่าเดินทางไปเสียภาษีมากกว่าจำนวนภาษีที่ต้องจ่าย ต้นทุนในการจัดเก็บของรัฐก็ยังอาจไม่คุ้มทุนเช่นกัน การจัดเก็บภาษีในลักษณะนี้จึงไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมเท่าที่ควร

            3. การจัดเก็บภาษี ควรจัดเก็บกันตามมูลค่าของทรัพย์สินตามศักยภาพที่ควรจะเป็นจะได้ไม่เกิดการลักลั่น เช่น ในเขตเมืองเช่นในกรุงโตเกียวแต่ก่อนก็จัดเก็บตามการใช้สอย จึงมีผู้เลี่ยงภาษีด้วยการปลูกพืชผลในที่ดินใจกลางเมืองแทนที่จะปล่อยให้ว่างเปล่า จะได้เสียภาษีแต่น้อย แต่ที่ดินใจกลางเมืองคงไม่เหมาะสมสำหรับการเกษตรกรรม และในหลายกรณียังต้องตีความขนาดที่ดินที่ใช้เพื่อการเกษตรกรรมและอื่น ๆ เสียอีก ดังนั้นการจัดเก็บภาษีจึงควรจัดเก็บตามมูลค่าของที่ดินตามศักยภาพที่แท้จริงโดยการประเมินค่าทรัพย์สินให้ถ้วนถี่ บวกด้วยสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ด้วย

            4. รัฐบาลควรประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ตามราคาตลาด ไม่ใช่ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมธนารักษ์ซึ่งอาจแตกต่างจากราคาตลาดจริงในแต่ละท้องที่ ความเป็นไปได้ของการประเมินตามราคาตลาดนั้น อยู่ที่การมีฐานข้อมูลการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นในทางหนึ่งจึงควรลดภาษีและค่าธรรมเนียมโอนซึ่งเป็นภาษทางอ้อมเมื่อมีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว ประชาชนจะได้แจ้งราคาจริง นอกจากนี้ควรเปิดเผยราคาที่มีการซื้อขายจริง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประเมินค่าทรัพย์สิน ไม่ควรปกปิดทั้งนี้เพื่อป้องกันการฟอกเงิน นอกจากนี้ควรมีมาตรการการลงโทษการแจ้งราคาซื้อขายที่ผิดปกติจากราคาตลาดเพราะคงอาจมีการฉ้อฉลที่ซ่อนอยู่บางประการ หากรัฐบาลสามารถดำเนินการตามนี้ได้ ก็จะเป็นเช่นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดทำราคาประเมินตามราคาตลาดที่แท้จริง

            5. ควรส่งเสริมให้ลดทอนภาษีทางอ้อมทั้งหลายและส่งเสริมให้มีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นภาษีทางตรงให้มาก เพื่อเป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยทางตรง ทุกวันนี้ท้องถิ่นเก็บภาษีได้เพียง 10% ของค่าใช้จ่าย เงินพัฒนาท้องถิ่นส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากส่วนกลาง จึงเกิดกรณี “วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง” เพราะท้องถิ่นไม่รู้สึกเป็นเจ้าของเงิน แต่หากให้ประชาชนเสียภาษีทางอ้อมน้อยลง และเงินพัฒนาท้องถิ่นต้องมาจากทางตรงเป็นหลักเช่นในประเทศตะวันตก เมื่อนั้นประชาชนในท้องถิ่นก็จะทำการตรวจสอบการใช้ภาษีของตนมากขึ้น โอกาสการโกงกินก็จะน้อยลง คนดี ๆ ในท้องถิ่นก็จะขันมาอาสามาทำงานการเมืองมากขึ้น ประชาธิปไตยจากรากฐานก็จะเบ่งบาน

            6. ควรส่งเสริมให้ความรู้แก่ประชาชน ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจัดเก็บเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง ทุกคนจึงควรตระหนักและมีส่วนสนับสนุนในฐานะหน้าที่พลเมืองดี การนี้ควรดำเนินการอย่างกว้างขวางและอย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นแบบ “ไฟไหม้ฟาง” หรือ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” หรือ “ผักชีโรยหน้า” เพื่อที่ประชาชนร่วมสนับสนุนการจัดเก็บภาษีแก่บุคคลทุกระดับในประเทศไทย

            7. รัฐบาลควรมีนโยบายในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตลอดจนภาษีมรดก ก่อนที่จะอนุญาตให้ต่างชาติมาถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เพราะในประเทศตะวันตก ทุกคนล้วนต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 1-2% ของมูลค่าบ้านในแต่ละปี และเสียภาษีมรดกหลังการขายอีก 30-45% หรืออาจเสียเป็นภาษีกำไร (Capital Gain Tax) หากรัฐบาลอนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยโดยไม่มีข้อกฎหมายสากลเช่นนี้ ก็เท่ากับเราตัดแผ่นดินขายให้ต่างชาติไปแบบฟรี ๆ นั่นเอง

            การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการพัฒนาประเทศ และการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงจากรากฐานระดับท้องถิ่นทั่วประเทศ

 

 

อ่าน 3,378 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved