ตอนนี้รัฐบาลคงเหลือแต่ "ขายฝัน" โครงการอีอีซี แต่ ดร.โสภณ ฟันธง ไม่สำเร็จแน่นอน ไม่ได้แช่ง ไม่ได้ขวาง แต่ไม่สำเร็จแน่ๆ "ไม่เห็นกระรอก อย่าเพิ่งโก่งหน้าไม้"
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ได้ให้ข้อคิดเห็นถึงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ Eastern Economic Corridor (EEC) ว่า ถึงแม้รัฐบาลจะฝากความหวังไว้กับโครงการนี้มาก แต่ก็ขออนุญาตมองต่างมุม แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นดีเห็นงามกับการพัฒนาประเทศ แต่กลัวจะไปผิดทาง ทำให้ประเทศชาติถดถอยมากกว่าจะก้าวหน้า
บทวิพากษ์ต่อโครงการ EEC จึงเป็นดังนี้:
1. การพัฒนาที่เปรอะไปหมด แต่เดิมครอบคลุม 3 จังหวัด คือฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง แต่ขณะนี้เพิ่มปราจีนบุรีเข้าไปด้วย ตรงบริเวณไหนก็ได้ อย่างนี้จึงเป็นการพัฒนาที่เปรอะไปหมด จะเป็นการสร้างปัญหามากกว่าจะเป็นการพัฒนาหรือไม่เพราะไม่มีการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษใด ๆ ทั้ง 4 จังหวัดนี้รวม ๆ กันแล้วมีพื้นที่ถึง 11.5 เท่าของกรุงเทพมหานคร ความมั่วจะตามมาหรือไม่
2. โครงการนี้ทำให้แทบจะลืมโครงการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวชายแดนโดยเฉพาะชายแดนภาคตะวันออกไปแล้ว คือ จังหวัดสระแก้ว จันทบุรีและตราด ความสำคัญของโครงการนี้คงลดน้อยลงหรือล้มเลิกไปในที่สุด การพัฒนาเมืองชายแดนอื่นก็คงซาตามๆ กันไปเช่นกัน
3. การพัฒนานี้จะทำให้ความเป็นเมือง (Urbanization) ขยายตัวอย่างไรทิศผิดทางหรือไม่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งเป็นเมืองแนวราบขนาดใหญ่ (Urban Field) อยู่แล้ว ก็จะรวมตัวกับฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยองและอาจเลยเถิดไปถึงปราจีนบุรีหรือไม่ ประสิทธิภาพในการคมนาคมขนส่งในเมืองจะมีหรือไม่
4. ฉะเชิงเทราถูกกำหนดให้เป็นเขตที่อยู่อาศัยของกรุงเทพมหานคร เป็นเรื่องที่ "ตลก" มาก เพราะในบริเวณปริมณฑล ยังมีพื้นที่ให้พัฒนาเป็นเมืองอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นบางพลี-บางบ่อ ลำลูกกา นนทบุรี นครปฐมและอื่น ๆ แต่จะ "ถ่อสังขาร" ไปอยู่แล้วไปกลับกรุงเทพมหานครถึงฉะเชิงเทรา คงทำให้สิ้นเปลืองค่าเดินทางเพิ่มขึ้น การคมนาคมขนส่งต่าง ๆ คงเติบโตไม่ทันเป็นแน่
5. รัฐบาลจะสร้างรถไฟความเร็วสูง แต่ผ่าต้องผ่านทางฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นเสมือนเมืองที่อยู่ "นอกแถว" แสดงว่าคนวางแผนของรัฐยังมีแนวคิดอนุรักษ์แบบการพัฒนารถไฟ หรือถนนสุขุมวิทที่ "เลื้อย" ไปตามจังหวัดต่าง ๆ โดยไม่คิดที่จะเน้นเชื่อมระหว่างจุดหมาย (สุวรรณภูมิ-แหลมฉะบัง-ระยอง) การคิดตามแบบเดิมๆ แบบนี้จะล้าสมัยไปหรือไม่
6. การวางแผนที่จะพัฒนา "นี่โน่น" แต่ให้เอกชนไปจัดหาที่ดินกันเอง ไปคิดทำกันเอง ซึ่งอาจไม่มีบูรณาการที่ดีนั้น สุดท้ายอาจจะออกมาแบบต่างคนต่างคิด ต่างสร้าง ต่างขัดแย้งกันหรือไม่ จะเป็นผลดีต่อส่วนรวมจริงหรือไม่ หรืออาจซ้ำซ้อนกันหรือไม่
7. การเน้นการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉะบัง สัตหีบ และมาบตาพุดนั้น ไม่แน่ว่าจะมีการประสานแผนกันได้หรือไม่ ขนาดรถแท็กซี่สนามบินยังมีอิทธิพลคุม แต่การฝันเฟื่องว่าสินค้าที่ผลิต ณ เมืองทวาย จะส่งผ่านไปออกทะเลทางท่าเรือเหล่านี้หรือเลยเถิดไปถึงท่าเรือในเวียดนาม คงเป็นเรื่องที่ "ไกลเกินฝัน" เสียจริงๆ เพราะหากต้องผ่านทางบกอีก 3 ประเทศ คงสู้การขนส่งทางเรือไม่ได้แน่นอน
8. ขณะที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีความจำเป็นต่อชาติมาก แต่ในแผนของ EEC คงไม่ได้เน้นการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดหรืออุตสาหกรรมหนักเลย ในขณะที่ในอนาคต อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคงมีการขยายตัวอีกมากทั้งในทวายและเมืองท่าของประเทศอื่น ๆ ทำให้ "รูจมูกหายใจ" ของไทยยิ่งตีบตันลง แถมยังคิดจะลดขนาดของอุตสาหกรรมหนักลงไปอีก
9. งบประมาณต่าง ๆ ในการดำเนินงานมีความเป็นจริงเพียงใด เพราะโครงการมีมากมาย แต่งบประมาณมีจำกัด การก่อสร้างจริงคงเกิดขึ้นช้า ที่ผ่านมาถนนหลายสายก็สร้างล่าช้ากว่ากำหนด โอกาสที่จะเห็นความเป็นจริงจึงมีจำกัด
ข้อเสนอของ ดร.โสภณ ก็คือ
1. การจำกัดเขตการพัฒนา โดยจัดทำเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะบริเวณที่วางแผนไว้ ไม่ใช่ดำเนินการเปรอะไปทุกที่ใน 4 จังหวัดเป้าหมาย ดังนั้นการวางผังหรือ Zoning จึงพึงชัดเจน
2. รัฐบาลควรเวนคืนที่ดินขนาดใหญ่เพื่อการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือนิคมอุตสาหกรรมเป้าหมายแทนที่จะให้เอกชนไปดำเนินการจัดหาเอง ซึ่งใช้เวลานาน
3. ขยายนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ย้ายชุมชนออกไปสู่รอบนอก ซึ่งปกติชาวบ้านก็ไม่ประสงค์จะอยู่ใกล้นิคมฯ แห่งนี้อยู่แล้ว หากให้ออกไปด้านนอก ชาวบ้านส่วนใหญ่ย่อมยินดีที่จะย้ายเพื่อสวัสดิภาพของตนเอง
เมื่อ 35 ปีก่อนทำให้ภาคตะวันออกเกิด "โชติช่วงชัชวาล" ได้ก็เพราะท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรม แต่เราจะพัฒนาให้เหนือกว่านี้ได้หรือไม่ ต้องอาศัยแผนการที่เป็นจริง ไม่ใช่เพียงการ "โฆษณาชวนเชื่อ" ผู้เกี่ยวข้องจึงพึงสังวร