AREA แถลง ฉบับที่ 13/2551: 19 มิถุนายน 2551
สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ตากอากาศในประเทศไทย
อ.วสันต์ คงจันทร์
กรรมการผู้จัดการ บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส อสังหาริมทรัพย์ตากอากาศเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นการสะท้อนภาวการณ์ลงทุนจากต่างประเทศในประเทศไทย ดังนั้น ศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA แห่ง บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จึงได้ทำการสำรวจภาวะตลาดของอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ในพื้นที่ 4 บริเวณ ได้แก่ ภูเก็ต พัทยา สมุย และชะอำ-หัวหิน และถือเป็นการสำรวจที่ครอบคลุมจำนวนโครงการ มูลค่าและจำนวนหน่วยขายสูงสุดเท่าที่เคยดำเนินการมาในประเทศไทย
จะสังเกตได้ว่าในเมืองเหล่านี้ มีการพัฒนารีสอร์ทมากกว่าที่อยู่อาศัยที่ขายให้คนในพื้นที่เสียอีก แสดงว่าเป็นพื้นที่ที่จัดขึ้นเพื่อกิจกรรมการพัฒนารีสอร์ทโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นก็ที่พัทยา ที่มีมูลค่าการพัฒนาในส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัยมากกว่า ทั้งนี้เป็นเพราะในพัทยา มีทั้งผู้ที่มาทำงานและกลุ่มผู้อยู่อาศัยมาแต่ก่อนที่ขยายครอบครัว และเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคเศรษฐกิจชายฝั่งทะเลตะวันออก จึงมีการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยมาก
สำหรับในพื้นทีอื่นเช่น เชียงใหม่ เชียงราย กาญจนบุรี พื้นที่ริมแม่น้ำโขง หรืออื่น ๆ ยังมีการพัฒนาในเชิงรีสอร์ทจำนวนน้อย จึงแทบไม่มีความเคลื่อนไหวนัก และจึงไม่ได้ทำการสำรวจไว้ และโดยที่ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ มักจะเป็นชาวต่างประเทศ ทำให้เห็นได้ว่าผู้ซื้อเหล่านี้อาจไม่ได้สนใจพื้นที่อื่นนอกเหนือจากบริเวณชายทะเล และสำหรับพื้นที่ชายทะเลส่วนอื่น แม้ขณะนี้ยังมีโครงการน้อยกว่าบริเวณ 4 แห่งที่สำรวจ แต่ก็เชื่อว่าจะมีการเติบโตมากขึ้นอีกในอนาคต
สำหรับราคาขายของอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศที่เป็นในรูปแบบอาคารชุดตากอากาศ และบ้านพักตากอากาศ (วิลล่า) นั้น พบว่า ราคาเฉลี่ยคือ 11.1 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่อยู่อาศัยทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเพียง 2.2 ล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตามราคาอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศในจังหวัดภูเก็ต มีราคาเฉลี่ยสูงสุด คือ 22.4 ล้านบาท รองลงมาคือ สมุย 19.2 ล้านบาท บ้านพักตากอากาศในภูเก็ตและสมุยบางแห่งมีราคาหน่วยละนับร้อยล้านบาท ส่วนที่พัทยาราคาเฉลี่ยคือ 8.38 ล้านบาท และที่ราคาต่ำสุดก็คือ ชะอำ-หัวหิน ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเพียง 5.64 ล้านบาท แต่ก็ยังสูงกว่าที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถึงหนึ่งเท่าตัว
การที่อสังหาริมทรัพย์ตากอากาศในพื้นที่ชะอำ-หัวหิน มีราคาต่ำสุดนั้น เชื่อว่า เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ขายให้นักลงทุนหรือผู้ซื้อภายในประเทศไทยเป็นสำคัญ ส่วนที่ภูเก็ต และสมุยนั้น เป็นสินค้าที่เน้นขายให้ชาวต่างชาติมากกว่า
ในด้านการขายพบว่า อสังหาริมทรัพย์ตากอากาศจำนวน 20,101 หน่วยนั้น มีผู้จองซื้อไปแล้ว 9,484 หน่วย หรือ 47% ของทั้งหมด โดยเหลืออยู่ 10,617 หน่วยในขณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าสมุยเป็นพื้นที่ที่ยังมีหน่วยขายเหลืออยู่มากที่สุดคือ 64% หรือ 1,426 หน่วยจากทั้งหมด 2,215 หน่วย แสดงว่าการขายอาจจะช้าในขณะนี้
หากแยกแยะวิเคราะห์ในแต่ละพื้นที่จะมีข้อสังเกตที่น่าสนใจดังนี้:
ภูเก็ต เป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญของต่างชาติโดยเฉพาะ โดยจะเห็นได้ว่าในแต่ละปีมีชาวต่างประเทศมาเที่ยวภูเก็ตถึง 4 ล้านคน หากเทียบกับบาหลีแล้วยังมากกว่า 1 เท่าตัว เพราะบาหลีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 1.8 ล้านคน อสังหาริมทรัพย์ตากอากาศในภูเก็ตก็แพงกว่าที่อื่นและยังคาดว่าจะมีการพัฒนาต่อเนื่อง เพราะภูเก็ตหรือเป็น ยี่ห้อ ทีมีผู้สนใจมาก
พัทยา เป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างการท่องเที่ยวกับพื้นที่เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมของภาคตะวันออก จึงมีความเจริญมากเป็นพิเศษ มีทั้งคนทำงานทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่อยู่อาศัยมานานมาซื้อ ทั้งพวกที่ย้ายมาจากต่างประเทศมาช่วยกันซื้อ เลยทำให้ตลาดที่นั่นคึกคักอยู่ตลอดเวลา ไม่มีฤดูกาล
สำหรับสมุยนั้นถือว่าเป็นระดับ น้อง ๆ ภูเก็ต ชื่อเสียงและภาพพจน์ก็ดีมากเช่นกัน สาธารณูปโภคก็มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต น่าจะมีโอกาสเติบโตมากเช่นกัน
อนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมผลการศึกษาทั้ง 4 เมือง หรือที่เจาะลึกเฉพาะที่ภูเก็ตและพัทยา สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายการตลาด บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส โทร. 0.2295.3905 (คุณทัศนีย์ ทิมา) ผู้แถลง:
อ.วสันต์ คงจันทร์ (valuation@area.co.th) กรรมการผู้จัดการ บจก.เอจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส และรองประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย AREA (www.area.co.th) |