ข้าราชการคนหนึ่งพึงมีทรัพย์เท่าใด จึงไม่ใช่โกงมา
  AREA แถลง ฉบับที่ 480/2560: วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

             ทำไมข้าราชการทหาร ตำรวจชั้นผู้ใหญ่บางท่าน รวยจัง ผมไม่ได้อิจฉาริษยาความรวยของท่านเหล่านั้นนะครับ การที่ท่านมีทรัพย์มากแสดงว่าท่านต้องมีความสามารถ จึงสะสมและถือครองทรัพย์ได้มากมายปานนั้น ส่วนที่มาก็อาจเป็นเพราะได้รับมรดก ทำการค้า ได้คู่ครองดี ฯลฯ แต่ผมมาคิดในอีกแง่หนึ่งว่า ถ้าเป็นข้าราชการธรรมดา ที่ไม่ได้รวยเพราะมรดกหรืออื่นใด ไม่ได้เบียดเบียนเวลาราชการไปทำการค้า หรือไม่ได้ทุจริต อาจไม่ร่ำรวย ไม่มีทรัพย์สินมหาศาล ผมจึงลองทำตัวเลขมาให้ดู เอาไว้พิจารณาอย่างเป็นรูปธรรม

             สมมติคนๆ หนึ่งรับราชการมาตั้งแต่ พ.ศ.2519 เมื่ออายุ 22 ปี เช่น พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีหรือท่านอื่นใด ปีนั้นรายได้ของข้าราชการชั้นตรี หรือนายทหารสัญญาบัตร อาจเริ่มต้นเพียงเดือนละ 1,500 บาท และเมื่อรับราชการมาจนครบเกษียณในปี 2557 หรือ 38 ปีต่อมา อาจมีรายได้ประมาณ 150,000 บาท (ซึ่งรวมเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งและอื่นๆ) หรือเพิ่มขึ้น 100 เท่า ก็เท่ากับว่าปีหนึ่ง ๆ มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 12.8838% โดยเฉลี่ยตามสูตร

             = {(รายได้สุดท้ายซึ่งรวมเงินเดือนและค่าประจำตำแหน่ง / เงินเดือนแรกเข้า) ถอดรากตามจำนวนปีที่รับราชการ)} -1

             = {(150,000 / 1,500) ^ (1 / 38)} -1

             = 12.8838%

             เมื่อนำอัตราเพิ่มขึ้นของรายได้ 12.8838% ของเงินเดือนปีแรก มาเป็นตัวเพิ่มของรายได้ในปีถัด ๆ มา ก็จะได้เงินเดือน ๆ สุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการที่ 150,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 100 เท่า

             ตามตารางข้างต้น รายได้ต่อปีก็เพียงคูณด้วย 12 เดือนเข้าไป โดยตั้งสมมติฐานง่าย ๆ ว่ารายได้ทุกบาททุกสตางค์จะไม่ได้นำไปใช้สอยอะไรเลย เช่น รายได้เดือนล่าสุดที่ 150,000 บาท คูณด้วย 12 เดือนก็เป็นเงิน 1,800,000 บาทนั่นเอง ส่วนรายได้ปีแรกเมื่อ พ.ศ.2519 ก็เป็นเงิน 18,000 บาทในปีนั้น

             ถ้าเงินเดือนที่ได้ทุกเดือนนำไปฝากธนาคารไว้ โดยสมมติให้มีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 8% ต่อปี ทั้งนี้บางช่วงอาจมีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่านี้ เช่น ในช่วงปี 2533-2539 แต่ก่อนหน้านี้และในปัจจุบัน ดอกเบี้ยเงินฝากก็ต่ำมาก แต่สมมติให้มีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเท่ากันคือ 8% ทุกปี เงินที่ฝากไว้แต่ละปีก็จะเติบโตขึ้น เช่น เงินเดือน ๆ แรก 1,500 บาท หรือปีละ 18,000 บาท หากฝากธนาคารไว้โดยไม่ได้ใช้เลย ณ อัตราดอกเบี้ย 8% เป็นเวลา 38 ปี ก็จะเป็นเงินถึง 335,255 บาท ณ ค่าปัจจุบัน หรือรายได้เดือนที่ 2 ณ พ.ศ.2520 ก็จะเป็นเงิน 350,415 บาท ณ ค่าปัจจุบัน เป็นต้น

             หากเอาเงินจำนวนนี้มารวมกันทั้งหมด ก็จะเป็นเงิน 34,191,338 บาท ซึ่งก็แปลว่า ในระยะเวลา 38 ปีที่รับราชการ หากไม่ใช้เงินสักสตางค์แดงเดียว ข้าราชการทหาร ตำรวจหรือข้าราชการพลเรือนนั้นๆ จะมีทรัพย์หรือความมั่งคั่งตามตัวเลขเท่านี้โดยถือเป็นทรัพย์สูงสุดที่พึงได้ เพราะในความเป็นจริง คงไม่มีใครไม่ใช่สอยอะไรเลย

             แต่หากคิดว่าเงินเก็บจริง ๆ 40% ของรายได้สุทธิ ณ ปัจจุบัน ความมั่งคั่งที่สะสมก็น่าจะเป็นเงินเพียง 13,676,535 บาท อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปข้าราชการมักบ่นว่าหลังเกษียณแล้ว ไม่ค่อยมีเงินเหลือเก็บหรือยังต้องอาศัยเงินบำนาญอยู่ไปวันหนึ่ง ๆ

             ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีเงินมากกว่าที่คำนวณไว้ จึงต้องถือว่ารวยด้วยกรณีพิเศษ ซึ่งไม่จำเป็นต้องหมายถึงการโกง แต่อาจเป็นเพราะ

             1. มีมรดกตกทอด

             2. มีคู่ครองที่ทำการค้า

             3. ถูกล็อตเตอรี่ สลากออมสิน สลากกาชาด ฯลฯ

             4. เก็บเงินได้โดยบังเอิญ ฯลฯ

             แต่นอกเหนือจากเหตุผลข้างต้นแล้ว การรวยอย่างผิดปกติ ก็ย่อมมาจากการทุจริต เช่น อย่างเบาก็คือการเบียดบังเวลาราชการไปทำธุรกิจ เล่นหุ้น ตลอดจนไปถึงอย่างหนักก็คือการทุจริต กินสินบาทคาดสินบนคนเดียว หรือทำอย่างเป็นขบวนการ หรืออย่างหนักสุดก็คือการกรรโชก ปล้นชิงทรัพย์ เป็นต้น

             ช่วยกันตรวจสอบเพื่อสังคมไทยโปร่งใส เมืองไทยน่าอยู่ตามนโยบายของทางราชการครับ

หมายเหตุ:

ดัดแปลงจากการนำเสนอครั้งแรก AREA แถลง ฉบับที่ 153/2557: 7 ตุลาคม 2557: ข้าราชการคนหนึ่งพึงมีทรัพย์เท่าไหร่ ดูรายละเอียดที่ http://bit.ly/1SfsNKc

อ่าน 14,918 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved