การที่คุณชูวิทย์ ถือครองที่ดิน "สวนชูวิทย์" ที่คาดว่ามีมูลค่า 5,000 ล้านบาทมาตั้งแต่ปี 2545 นั้น แสดงว่าคุณชูวิทย์ เป็นหนี้แผ่นดิน 961 ล้านบาท นี่คือกรณีศึกษาภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มาดูกัน

           ราคาตลาดของที่ดิน "สวนชูวิทย์" (https://goo.gl/cGZJYp) ในขณะซื้อคือ 350,000 บาทต่อตารางวา หรือรวม 6 ไร่คือ 744 ล้านบาท แต่คุณชูวิทย์ซื้อในราคา 500 ล้านบาท ในอารยประเทศตะวันตก เขามักเสียภาษีตามราคาตลาด คือราคาประเมินราชการไม่ได้ต่ำกว่าราคาตลาดมาก ๆ เช่นในกรณีประเทศไทย (https://goo.gl/yKNXzM) และสำหรับที่ดินเปล่า คงต้องเสียภาษีในอัตราสูงที่ประมาณ 2% เช่นที่ในประเทศไทยก็เคยคิดไว้เช่นนี้ หากคุณชูวิทย์ต้องเสียภาษีในปี 2545 ในอัตรา 2% ของราคาตลาดเช่นอารยประเทศ ก็เท่ากับต้องเสียภาษีประมาณ 15 ล้านบาท

            เงิน 15 ล้านบาทที่พึงเสียภาษีตามมาตรฐานสากลนั้น หากรัฐเก็บภาษีแล้วฝากธนาคารไว้ถึงวันนี้ ณ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 3.8% ตามอัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ก็จะเติบโตเป็นเงินประมาณ 27 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2561  ส่วนในปีถัดมาคือปี 2546 ราคาที่ดินหากเพิ่มขึ้นตามอัตราเฉลี่ยที่ 12.7% ก็จะเป็นเงิน 838 ล้านบาท และเมื่อต้องภาษี 2% ก็จะเป็นเงินภาษี 17 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดอกเบี้ย 3.8% จนถึงสิ้นปี 2561ประมาณ 15 ปี ก็จะกลายเป็นเงิน 29 ล้านบาท

            หากคิดตามวิธีข้างต้นทุกปี สรุปถึง ณ สิ้นปี 2561 ภาษีที่คุณชูวิทย์พึงเสียตามมาตรฐานสากลของอารยประเทศ ก็จะเป็นเงิน 961 ล้านบาท หรือราว 19% ของมูลค่าปัจจุบันที่ 5,040 ล้านบาทเข้าไปแล้ว แต่ในกรณีประเทศไทย ยังไม่เคยมีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คุณชูวิทย์เลยรอดไป ไม่เฉพาะคุณชูวิทย์ที่รอดไป คนรวยๆ ที่รวยกว่าคุณชูวิทย์ที่มีทรัพย์สินนับหมื่นๆ ล้านบาทแต่ไม่เคยต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเลย ก็รอดตามไปด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในรัฐบาลนี้ ก็ยังมีการยื้อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกันสุดชีวิต หรือไม่ก็ "ทำแท้ง" ไปซะเลย หรือให้กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ออกแบบเก็บภาษีไม่ได้สักบาท เช่นเดียวกับกฎหมายภาษีมรดก (http://bit.ly/2tHEmnh)

            ยิ่งถ้าใครถือครองที่ดินมานานราว 50 ปี แต่ไม่เสียภาษี และทิ้งไว้ทนโท่อย่างนั้น ก็เท่ากับว่า ราว 50% ของมูลค่าปัจจุบันเป็นสมบัติของแผ่นดินที่ควรเสียภาษี และนี่เองที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์จึงมักยึดเอาทรัพย์สินของคนรวยๆ มาแจกให้คนจนเพราะพวกนี้เอาเปรียบสังคมมาโดยตลอด และต่อให้พวกนี้ทำดีมากมายมหาศาลเพียงใด ก็แค่ "ขนหน้าแข้งไม่ร่วง" ไม่อาจทำบุญหรือทำดีได้เท่ากับการได้เอาเปรียบสังคมเอาไว้ การเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นพันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีทรัพย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเสียภาษีล้อเลื่อนสำหรับมอเตอร์ไซค์ หรือการเสียค่าส่วนกลางในห้องชุดถูกๆ สักห้องหนึ่ง จะหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง

            อย่างกรณีคุณชูวิทย์นี้ หากมีภาษี Betterment Tax หรือภาษีของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น คุณชูวิทย์ ก็คงต้องเสียภาษีอีกอานตอนที่ขายต่อ เช่น ซื้อมาราคา 500 ล้านบาท หากคิดให้ดอกเบี้ยพันธบัตร 3.8% เป็นเวลา 16 ปี เงิน 500 ล้านบาท ก็เติบโตเป็น 907 ล้านบาท แต่ตอนนี้ราคาเพิ่มเป็น 5,040 ล้านบาท ก็เท่ากับได้กำไร 4,133 ล้านบาท หากรัฐบาลคิด Betterment Tax ที่ 20% ก็เท่ากับคุณชูวิทย์พึงเสียภาษีเข้าหลวง 827 ล้านบาท จากนั้นหากคุณชูวิทย์ยกรายได้ทั้งหมดให้ลูกๆ ในมูลค่าส่วนที่เหลือ 4,213 ล้านบาท (5,040 - 827 ล้านบาท) ลูก ๆ ของคุณชูวิทย์ ก็ควรเสียภาษีมรดกประมาณ 20% ตามอารยประเทศ ลูกๆ ของคุณชูวิทย์ก็ต้องเสียราว 821 ล้านบาท เหลือสุทธิไปประมาณ 3,392 ล้านบาทนั่นเอง กรณีนี้จึงถือว่าไม่ได้ค้างชำระกับแผ่นดิน และก็ถือว่าได้ไปมากโข

            การเสียภาษีเกี่ยวกับทรัพย์สินนี้จึงมีไว้เพื่อการลดความเหลื่อมล้ำในหมู่ชน มีเงินไปพัฒนาประเทศ ประเทศจะได้ไม่เกิดกลียุค ไม่เหลือแต่คนรวยๆ เช่นปัจจุบันที่ยังเสพสุขอยู่ เพราะถ้าประเทศเกิดสงครามกลางเมืองเพราะประชาชนส่วนใหญ่อดอยาก คนรวยก็จะรักษาสมบัติของตนเองไว้ไม่ได้ถึงขั้น "ทุนหายกำไรหด" อย่างกรณีคุณชูวิทย์ แทนที่ลูกๆ จะได้ทรัพย์มูลค่า 3,392 ล้านบาทไปอย่างโอ่อ่าเปิดเผย ก็อาจสูญเช่นที่เกิดขึ้นในอินโดจีนในอดีตนั่นเอง

            ปล. กระผม ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ต้องกราบขออภัยคุณชูวิทย์ ที่อ้างชื่อยกท่านมาเป็นกรณีตัวอย่างให้สังคมได้เห็นชัดถึงความจำเป็นต้องมีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

ที่มา: http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000067823