"ตาดูดาว เท้าติดดิน" เป็นคำพูดที่ลึกซึ้ง น่านับถือ มีวิสัยทัศน์ คนที่จะก้าวไกลไปได้ ต้องมีลักษณะดังกล่าวอย่างแน่นอน
ในวงการใดวงการหนึ่ง เช่น อย่างผมอยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์นั้น "ตาดูดาว" ย่อมหมายถึงการมองออกไปข้างนอก ไปต่างประเทศบ้าง ไปดูอะไรต่อมิอะไร จะได้มีอะไรใหม่ๆ กลับมาพัฒนา มีแนวคิดสร้างสรรค์บ้าง นักพัฒนาที่ดินใหญ่ๆ รายเก๋า ๆ ทั้งหลาย เขาล้วนออกไปดูงานต่างประเทศมาแล้วทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นก็คงพัฒนาอะไรที่พิเศษและยิ่งใหญ่ก่อนกาลไม่ได้ เช่น
1. นวนคร นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2514 ตั้งอยู่ที่ 999 หมู่ 13 ตำบล คลองหนึ่ง อำเภอ คลองหลวง จังหวัด ปทุมธานี บนพื้นที่กว่า 5,000 ไร่ ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งปัจจุบัน นวนครมีพื้นที่กว่า 6,485 ไร่ นี่คือนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาจึงมีนิคมอุตสาหกรรมบางชัน (2515) และนิคมอุตสาหกรรมบางปู (2520) เป็นต้น
2. เซ็นทรัลลาดพร้าว ที่เริ่มต้นในปี 2521 ในขณะนั้นประเทศไทยยังไม่รู้จะไปรอดหรือไม่ จะกลายเป็นประเทศสังคมนิยมตามอินโดจีนหรือไม่ แต่ก็มีการพัฒนาเซ็นทรัลลาดพร้าวที่ประกอบด้วยศูนย์การค้า โรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า และอาคารสำนักงาน แนวคิดแบบนี้คงไม่ได้หล่นมาจากฟากฟ้าแน่นอน
3. ตลาดไท โดยท่าน ดร.ถนอม อังคณะวัฒนา ซึ่งเริ่มต้นในปี 2538 และแล้วเสร็จในปีวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 แต่ก็สามารถอยู่ยงคงกระพันมาได้ถึงทุกวันนี้ ถ้าท่านไม่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ท่านก็คงทำไม่ได้
แต่หลายคนไม่ชอบไปดูงานต่างประเทศ อาจเป็นเพราะ
1. รู้และทำอยู่แค่นี้ก็นับเงินจนเหนื่อยแล้ว!?!
2. ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้การพัฒนาของประเทศอื่นถึงไหนแล้วกระทั่งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างลาว เขมร พม่า ก็ไม่รู้เรื่อง อันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่อันตรายมากว่าวิสัยทัศน์ของเราสั้นจุ๊ดจู๋จริงๆ
3. บ้างก็คุยว่ารู้เรื่องสารพัดในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในสมัยที่ไปเรียนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ไม่ใช่ตอนนี้ที่โลกเปลี่ยนไปมากมายแล้ว
4. บ้างก็มองว่าแค่ไปทัวร์ ไปเที่ยวประเดี๋ยวแบบ "ชะโงกทัวร์" ในยุโรปและอเมริกาสัก 1-3 สัปดาห์ ก็พอรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
คนที่คิดแบบนี้ ถ้าไม่ใฝ่รู้ ก็ตระหนี่ วิสัยทัศน์สั้น หมกมุ่นเอาแต่เสพสุขกับความสุขเกษมประเดี๋ยวประด๋าว และทำตัวแบบพระย่ำระฆังไปวันๆ หนึ่ง คิดการณ์ใหญ่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับความสำเร็จในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งตนคงไม่ได้ คงล่อยลอยไปเรื่อยๆ ถ้ามองในแง่ดีก็คงบอกว่า "พอเพียง" แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่งก็คือไม่สร้างสรรค์นั่นเอง
การที่จะไปดูงานต่างประเทศนั้น ต้องมีเครือข่ายที่จะให้ข้อมูลแบบเจาะลึก ไม่ใช่ไปเดินๆ ดูๆ เอา บ้างก็ควรไปร่วมสัมมนานานาชาติกันบ้าง ไปฟังงานวิจัยใหม่ๆ กันบ้าง ไปร่วมงานนิทรรศการอสังหาริมทรัพย์ที่มีนวัตกรรมมานำเสนอจากทั่วทุกมุมโลกบ้าง หรือเป็นโอกาสในการ Roadshow ในต่างประเทศผ่านช่องทางที่มีประสิทธิผลต่าง ๆ และที่สำคัญต้องเข้าร่วมเครือข่ายอสังหาริมทรัพย์ เช่น เป็นสมาชิก FIABCI ซึ่งเป็นสมาคมอสังหาริมทรัพย์ที่มีสมาชิกจากทั่วโลก และในกรณีประเทศไทย ผมเป็นประธานสมาคม FIABC-Thai อยู่ในขณะนี้
เมื่อวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2560 ผมได้ไปร่วมงานประชุม MIPIM ฮ่องกง ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมงานนี้ประมาณ 800 คนจาก 30 ประเทศทั่วโลก ค่าธรรมเนียมเข้าร่วมสัมมนา 2 วันเป็นเงินประมาณ 40,000 บาท แต่ในฐานะที่ผมเป็นสมาชิกสมาคม FIABCI-Thai ก็สามารถเข้าร่วมฟรี แต่ถ้าไปหลายๆ ท่านก็อาจจ่ายในราคาพิเศษ ถ้าเราอยากเจอนายหน้าข้ามชาติ ผู้จัดการกองทุนอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนรายใหญ่ ผู้บริหารสถาบันการเงินใหญ่ๆ ฯลฯ ก็ต้องมากระทบไหล่กันในงานนี้ แต่โดยทั่วไปเราได้ยินแค่ค่าธรรมเนียมก็คงถอยแล้ว ทั้งที่ค่าธรรมเนียมนี้ ใช้ไปตีกอล์ฟ (หลุม 19) หรือซื้อบริการบันเทิงในสถานที่อโคจร ก็แค่ไม่กี่ครั้งเอง
ผมเองแก่ปานนี้ก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มากมาย ยกตัวอย่างเล็ก ๆ อันหนึ่งก็คือ มีโครงการอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งมีจัดแสดงในงาน ชื่อ Deutsches Haus หรือบ้าน "เยอรมัน" สร้างอยู่ที่นครโฮจิมินห์ซิตี้ สร้างบนที่ดินเก่าที่สถานทูตเยอรมนีเคยซื้อไว้เมื่อปี 2505 ว่าจะสร้างสถานกงสุล แต่หลังจากเกิดสงครามที่ดินแปลงนี้ก็ถูกทิ้งไว้ และต่อมาทางรัฐบาลเวียดนามกลับยกที่ดินแปลงนี้ให้กับรัฐบาลเยอรมนีเช่า 198 ปี โดยทางเยอรมนีต้องสร้างอาคารสำนักงานขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นการลงทุน
โครงการนี้มีพื้นที่ก่อสร้าง 40,000 ตารางเมตร มีพื้นที่ใช้สอยสุทธิ 30,000 ตารางเมตร (ไม่ต้องกันที่จอดรถมากนัก) โดยมีที่จอดรถ 129 คัน แต่ถ้าเป็นในกรณีประเทศไทย พื้นที่ 30,000 ตารางเมตรต้องมีที่จอดรถอย่างน้อย 500 คัน เขาสร้างไว้อย่างดี เพิ่งแล้วเสร็จเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ไทยเราก็ทำอย่างนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องยกที่ดินให้ใครยาวนานถึง 198 ปี (แต่ปกติเวียดนามให้เช่าได้แค่ 50-70 ปีเท่านั้น) ถ้าเราเอาค่ายทหารในเมือง ซึ่งอาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แถวเกียกกาย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรือส่วนราชการอื่น โดยย้ายออกสู่นอกเมือง เพราะสมัยนี้สามารถเคลื่อนย้ายกำลังพลได้รวดเร็ว ก็อาจส่งเสริมให้ภาคเอกชนมาสร้างอาคารสำนักงานในพื้นที่ๆ จัดเตรียมไว้ให้เป็นเสมือนหนึ่ง ย่าน "มากาตี" ซึ่งเป็นศูนย์ธุรกิจใจกลางกรุงมะนิลา เป็นต้น การนี้จะทำให้เงินทุนไหลเข้าไทยอย่างมหาศาล เป็นต้น
ในระหว่างวันที่ 21-24 มกราคม 2561 ผมยังจะไปประชุม Pacific Rim Real Estate Society (PRRES) ณ นครอ็อคแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ที่นั่นจะเป็นการประชุมของอาจารย์ด้านอสังหาริมทรัพย์จากมหาวิทยาลัยในภูมิภาคริมมหาสมุทรแปซิฟิก ผมเคยไปมาหลายครั้งแล้ว ทั้งยังไปนำเสนอบทความเป็นวิชาการด้วย ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมายเช่นกัน สมาคมของอาจารย์นี้ยังมีที่ European Real Estate Society ซึ่งปี 2561 จะจัดที่มหาวิทยาลัย Reading สหราชอาณาจักร (27-30 มิถุนายน) และ Asean Real Estate Society ณ นครอินชอน เกาหลีใต้ (8-11 กรกฎาคม) เป็นต้น ผู้สนใจควรไปร่วม
ในฟากของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ MIPIM ซึ่งเป็นงานนิทรรศการอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกที่จัดต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ณ เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศสก็น่าไปเป็นอย่างยิ่ง โดยในปี 2561 นี้ จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 13-16 มีนาคม มีผู้เข้าร่วมถึง 24,000 คนจาก 100 ประเทศทั่วโลก มีวิทยากรพูดถึง 360 คน แต่ค่าเช้าชมเป็นเงิน 1,755 ยูโร หรือเป็นเงินไทย 67,813 บาท ซึ่งนับว่าคุ้มค่ามากหากสร้างเครือข่าย (Networking) ที่นั่น และยิ่งถ้าไปออกบูธ ก็คงดีกว่าไป Roadshow ที่อื่น ยิ่งกว่านั้นหากเป็นสมาชิก FIABCI ซึ่งเป็น Strategic Partner กับ MIPIM ก็สามารถเข้าร่วมงานได้ฟรีอีกด้วย!
และยิ่งหากสนใจเข้าร่วมงานประชุมกับสมาคมอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ ในปี 2561 ก็จะจัดที่นครดูไบ โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 27 เมษายน - 2 พฤษภาคม ศกนี้ ที่ Sheikh Maktoum Hall งานนี้ผมในฐานะประธาน FIABCI-Thai จะได้จัดคณะคนไทยไปเข้าร่วมประชุม และยังมีบูธนิทรรศการต่าง ๆ เป็นอันมาก ใครอยากไป Roadshow หรือไปฟังสัมมนา ไป Networking หรือไปเที่ยวด้วย เพราะผมจะจัดโปรแกรมให้มีเวลา "หายใจ" (Shopping / Touring) บ้างเช่นกัน สนใจก็ไปร่วมกันได้นะครับ
วันนี้เราต้องมีเครือข่ายต่างประเทศแล้ว การหวังพึ่งแต่พวกนายหน้าข้ามชาติ ก็เท่ากับเราเอาจมูกคนอื่นมาหายใจ คงไม่ไหวแน่ ถ้าอยากจะ "ฝันให้ไกล ไปให้ถึง" ก็ต้องมีวิสัยทัศน์แบบ "ตาดูดาว เท้าติดดิน" เสียก่อน