จากกรุงเทพมหานครไปนครโอ้คแลนด์ นิวซีแลนด์ ผมนั่งเครื่องบินถึง 3 ต่อ 18 ชั่วโมง อยากประหยัด แต่เสียท่า ขาดทุนย่อยยับครับ อิอิ
ในระหว่างวันพุธที่ 17 - วันพุธที่ 24 มกราคม 2561 ผมเดินทางไปนครโอ้คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อประชุมสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภาคพื้นเอเซีย-แปซิฟิก ( Pacific Rim Real Estate Society: PRRES) ซึ่งเป็นสมาคมของอาจารย์ที่สอนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั่วภูมิภาคนี้ อันที่จริงผมเคยเป็นเจ้าภาพรับหน้าเสื่อมาจัดงานนี้ที่ประเทศไทยเมื่อปี 2547 อยู่ครั้งหนึ่ง และยังไปร่วมงานนี้ซึ่งวนกันจัดในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้
ตอนตัดสินใจไป ผมก็วางแผนซื้อตั๋วเครื่องบิน แน่นอนว่าตั๋วของการบินไทยแพงระยับ ประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท เลยตัดสินใจเลือกแอร์เอเซียที่ราคา 2 หมื่นนิดๆ แต่ต้องทนหน่อยเพราะต้องต่อถึง 3 ต่อ จากกรุงเทพมหานคร ไปต่อที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองโกลด์โคสต์ของออสเตรเลีย แล้วจึงจะถึงนครโอ้คแลนด์ สิริรวมเป็นเวลาประมาณ 18 ชั่วโมง ต่างจากการบินไทยที่ใช้เวลางินตรงแค่ 12 ชั่วโมงถึง 6 ชั่วโมงทีเดียว ตอนนั้นในใจก็คิดว่า เอาน่ะ ยังไงก็ได้ประหยัดเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงได้ร่วมหมื่นบาทกับเวลาที่หายไป ระหว่างทางยังได้คิดได้เขียนบทความ อย่างบทความนี้ก็เขียนระหว่างบินกลับต่อแรกจากโอ้คแลนด์ไปโกลด์โคสต์
แต่ไม่กี่วันหลังจองตั๋ว ปรากฏว่าเสียดายแทบเข่าทรุด การบินไทยลดราคาบินคู่เหลือ 2 หมื่นกว่าบาท ราคาสูงกว่าแอร์เอเซียไม่กี่พันเท่านั้น แถมยังมีอาหาร-เครื่องดื่มตลอดการเดินทางตามแบบฉบับสายการบินปกติที่ไม่ต้องซื้ออาหารเพิ่ม หมอน ผ้าห่มก็มี หนังก็มีให้ดู แต่เมื่อผมพลาดแล้วก็ต้องก้มหน้ารับสภาพตามระเบียบ ปรากฏว่าทั้งเส้นทางบิน ไม่พบคนไทยที่ยอมตุปัดตุเป๋เช่นผมเลย นี่คงเป็นเพราะผมตัดสินใจพลาดไปแล้วครับ
พอเดินทางมาถึงสนามบินโอ้คแลนด์ ก็นั่งรถประจำทางเข้าเมืองตามปกติของผม ไม่คิดนั่งแท็กซี่ที่แพงมากๆ อยู่แล้วครับ ส่วนโรงแรมที่พักก็เป็นโรงแรมเล็กๆ ราคาถูกๆ ราวเกือบ 2 พันบาทต่อคืน (นี่ขนาดถูกมากแล้วนะครับ) แต่โชคดีที่สถานที่จัดงานประชุมวิชาการ PRRES ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยโอ้คแลนด์ ห่างจากที่พักแค่ 1 กิโลเมตร เลยเดินไปกลับได้ตลอด มีเพียงวันแรกที่เขาจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่ท่าเรือ เลยต้องเดินราว 2.5 กิโลเมตร แถมทางเดินเป็นเนินเขาขึ้นๆ ลงๆ เล่นเอาเหนื่อยน่าดู แต่ก็อดทนหน่อย ประหยัด และจะได้ออกกำลังกายตามมีตามเกิดด้วยครับ
มาเสียท่าเอาวันกลับ ผมได้รับของขวัญชิ้นพิเศษเป็นน้ำผึ้งนิวซีแลนด์อันเลื่องชื่อ กระปุกละประมาณ 5,000 บาท ท่านผู้มีคุณเป็นแหม่มคราวน้าอุตส่าห์ให้มา ท่านคงคิดว่าตอนมาเมืองไทย ผมก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี ผมปฏิเสธ น้าแหม่มก็ไม่ยอม ผมเลยหอบมาสนามบิน พอมาถึงเจ้าหน้าที่แอร์เอเซียบอกขึ้นเครื่องไม่ได้เพราะเป็นของเหลวที่มีขนาดบรรจุมากกว่า 100cc ผมไม่ยอมเพราะตอนมาผมก็ไม่ได้ซื้อน้ำหนัก หิ้วกระเป๋าเล็กๆ หนักไม่เกิน 7 กิโลกรัมขึ้นเครื่อง
ผมทำอย่างไรรู้ไหมครับ ผมเตร็ดเตร่ไปหาขวดขนาด 100cc แต่ก็หาไม่ได้ มีขวดสบู่เหลวเหมือนกัน แต่ต้องซื้อ 5 ขวดมาเททิ้งแล้วใส่น้ำผึ้ง ซึ่งก็ไม่รู้จะหกเลอะเทอะไหม ผมกะจะฝากร้านค้าไว้ให้น้าแหม่มมารับคืน ก็ไม่มีใครรับฝาก แถมอาจเสียน้ำใจน้าแหม่ม สุดท้ายผมจึงต้องเอากระเป๋าหนักไม่กี่กิโลกรัมไปโหลดพร้อมน้ำผึ้งที่บรรจุข้างใน เสียเงินไปอีก 3,200 บาท นับว่าการเดินทางครั้งนี้ ผมขาดทุนย่อยยับ (ฮา) เลยทีเดียว นอกจากผมจะไม่ได้ประหยัดเงินแล้ว ยังไม่ได้ทานอาหารบนเครืองบินและเสียเวลาไปอีก 6 ชั่วโมง
พอกลับถึงกรุงเทพมหานคร เวลา 08:30 น. ของวันพุธที่ 24 มกราคม ผมก็ตรงไปอัดรายการโทรทัศน์ ใน 10:00 น. จากนั้นเวลาบ่ายโมง ก็จะมีลูกค้ารายใหญ่ผู้มีคุณไปหาที่บริษัท พอถึงเวลา 16:00 น. ก็ไปรายการโทรทัศน์อีกรายการหนึ่ง เรียกว่าวิ่งขาขวิด กว่าจะได้ไปกราบแม่ยาย และแม่ผมก็พลบค่ำพอดี จึงค่อยได้พบลูกๆ และภริยาครับ
ที่ผมเขียนให้อ่านเล่นนี้ แน่นอนว่าผมสะท้อนชีวิตสมถะของผม ผมไม่ชอบอวดรวยขึ้นเครื่องบินชั้นธุรกิจ หรือสวมใส่นาฬิกาสุดหรู ในทางตรงกันข้าม ผมก็ไม่ได้อวดจน-สร้างภาพสมถะ เพราะผมปฏิบัติเช่นนี้เป็นปกติสุขอยู่แล้ว โออ่าเปิดเผยครับ อิอิ
ปล. ผมอยากฝากบอกนายกฯ ว่าถ้าจะนำนโยบายพอเพียงมาใช้จริง ควรให้ข้าราชการเลิกนั่งชั้นธุรกิจ หรือชั้น 1 ใครอยากนั่งก็ออกเงินเพิ่มจากชั้นปกติแทน ก็ไม่รู้ว่ารัฐจะกล้าปฏิรูปอย่างที่ผมเสนอหรือเปล่า