ในเดือนมกราคม อสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีการเปิดตัวลดลงเล็กน้อยจากปลายปี 2560 โดยในเดือนนี้มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 23 โครงการ ลดลงจากเดือนธันวาคม 2560 จำนวน 2 โครงการ ซึ่งมีจำนวนหน่วยขายและมูลค่าโครงการรวมลดลงด้วย โดยลักษณะการพัฒนาเป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้ง 23 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายรวม 4,112 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 16,613 ล้านบาท
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวว่า จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 4,112 หน่วย ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 1,483 หน่วย (เดือนธันวาคม 2560 มีจำนวน 5,595 หน่วย) หรือลดลงประมาณ 27% เนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการไปเป็นจำนวนมากในช่วงปลายปี 2560 แล้ว และมีจำนวนหน่วยขายเฉลี่ยต่อโครงการที่ 178 หน่วย ซึ่งลดลงจากเดิมที่เฉลี่ยต่อโครงการ 223 หน่วย
ประเภทที่มีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่มากที่สุดในเดือนนี้ยังคงเป็นอาคารชุด โดยมีจำนวนหน่วยเปิดขาย 2,190 หน่วย (53.3%) รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ 1,018 หน่วย (24.8%) ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 662 หน่วย (16.1%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบจำนวนหน่วยขายของที่อยู่อาศัยหลัก ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด กับเดือนที่ผ่านมา จะพบว่าจำนวนหน่วยขายของอาคารชุดและบ้านเดี่ยวมีจำนวนหน่วยขายเพิ่มขึ้น ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนลดลง โดยอาคารชุด มีจำนวนเพิ่มขึ้น 214 หน่วย (11%) บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 299 หน่วย (82%) และทาวน์เฮ้าส์ลดลง 1,973 หน่วย (-66%)
ดร.โสภณ แจกแจงในรายละเอียดว่า ประเภทที่มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุด คืออาคารชุด 11,032 ล้านบาท (66.4%) รองลงมาคือ บ้านเดี่ยว2,946 ล้านบาท (17.7%) ส่วนอันดับ 3 คือ ทาวน์เฮ้าส์ 1,786 ล้านบาท (10.8%) ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดตามลำดับ ดังนั้นภาพรวมของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้ส่วนใหญ่หากเป็นบ้านเดี่ยวจะเน้นที่ระดับราคาปานกลาง 3-5 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์จะเน้นราคา 1-2 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดจะเน้นที่ราคา 2-3 ล้านบาทเป็นสำคัญ
เมื่อพิจารณาอัตราการขายได้ จะพบว่าในเดือนแรกของการเปิดขายมีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 26% ซึ่งจากเดือนที่ผ่านมาที่มีอัตราการขายได้ที่ 18% ต่อเดือน โดยประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการได้สูงสุด และมีจำนวนหน่วยขายเป็นส่วนใหญ่ของตลาดคืออาคารชุดระดับราคา 5-10 ล้านบาท จำนวน 307 หน่วย ขายได้แล้ว 175 หน่วย (57%) รองลงคือ อาคารชุดระดับราคา 10-20 ล้านบาท จำนวน 254 หน่วย ขายได้แล้ว 108 หน่วย (43%) และอันดับ 3 คืออาคารชุดระดับราคา 2-3 ล้านบาท จำนวน 984 หน่วย ขายได้แล้ว 350 หน่วย (36%)
อย่างไรก็ตามในเดือนมกราคมนี้ ดร.โสภณ กล่าวว่ายังพบโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่รอเปิดขายใหม่ในอนาคตอีก 412 โครงการ โดยได้แสดงชื่อโครงการ และที่ตั้งโดยสังเขปไว้ ซึ่งความคืบหน้าจะได้นำเสนอต่อไป จะสังเกตได้ว่ามีโครงการหลายแห่งที่ได้ประกาศตัวหรือเปิดตัวทางหน้าหนังสือพิมพ์ อย่างไรก็ตามในการเปิดขายจริง (ที่มีโบรชัวร์และสำนักงานขายที่พร้อมต้อนรับผู้สนใจซื้อไปเยี่ยมชม) ยังไม่มี จึงถือเป็นโครงการที่ยังไม่เปิดตัวและเมื่อเปิดตัวจริงแล้ว จะได้ดำเนินการสำรวจต่อไป