หลายคนอยากเข้ามาในวงการอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังจดๆ จ้องๆ เพราะไม่แน่ใจในภาวะตลาดเป็นอย่างไรกันแน่ เรามาดูกันสักหน่อยว่าตลาดไปไหวหรือไม่ ยังพอมีช่องทางลงทุนหรือไม่อย่างไร
สินค้าที่น่าลงทุน
สินค้าที่น่าลงทุนคือสินค้าที่ราคาขึ้นสูงกว่าทั่วไป แสดงว่ามีความต้องการ ได้แก่:
อันดับที่ 1 ทำเล E7: สุขาภิบาล 2-3 บ้านเดี่ยว ในระดับราคา >20.000 ล้านบาท มีราคา ณ กลางปี 2560 ที่ 25 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นปี 2560 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 28 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.0% ในรอบ 6 เดือน
อันดับที่ 2 ทำเล B4: ชินเขต ท่าทราย ทาวน์เฮาส์ ในระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาท มีราคา ณ กลางปี 2560 ที่ 4.740 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นปี 2560 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 5.290 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.6% ในรอบ 6 เดือน
อันดับที่ 3 ทำเล K1: พระราม 2 กม.1-10 ตึกแถว ในระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาท มีราคา ณ กลางปี 2560 ที่ 5.890 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นปี 2560 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 6.490 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.2% ในรอบ 6 เดือน
อันดับที่ 4 ทำเล A6: ลำลูกกา บ้านแฝด ในระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาท มีราคา ณ กลางปี 2560 ที่ 1.690 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นปี 2560 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1.854 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.7% ในรอบ 6 เดือน
อันดับที่ 5 ทำเล A1: นวนคร คลองรพีพัฒน์ ทาวน์เฮาส์ ในระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาท มีราคา ณ กลางปี 2560 ที่ 2.090 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นปี 2560 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 2.290 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.6% ในรอบ 6 เดือน
อันดับที่ 6 ทำเล J2: ประชาอุทิศ บ้านแฝด ในระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาท มีราคา ณ กลางปี 2560 ที่ 2.380 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นปี 2560 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 2.600 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.2% ในรอบ 6 เดือน
อันดับที่ 7 ทำเล B5: งามวงศ์วาน ห้องชุด ในระดับราคา 0.500-1.000 ล้านบาท มีราคา ณ กลางปี 2560 ที่ 0.759 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นปี 2560 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 0.829 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.2% ในรอบ 6 เดือน
สินค้าที่ขายยาก อย่าซื้อ-ห้ามสร้างเพิ่ม
อันดับที่ 1 ทำเล A2: บางขัน คลองหลวง บ้านเดี่ยว ระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย มีทั้งหมด 101 หน่วย ขายได้เพียง 0 หน่วย ยังเหลือขายอีก 101 หน่วย หรือยังเหลืออยู่ 100% ยังขายไม่ได้
อันดับที่ 2 ทำเล N7: ลาดหลุมแก้ว บ้านแฝด ระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย มีทั้งหมด 56 หน่วย ขายได้เพียง 1 หน่วย ยังเหลือขายอีก 55 หน่วย หรือยังเหลืออยู่ 98% มีมูลค่าที่ขายได้เพียง 3 ล้านบาท หรือประมาณว่าขายได้เพียงเดือนละ 1.8%
อันดับที่ 3 ทำเล K1: พระราม 2 กม.1-10 บ้านแฝด ระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย มีทั้งหมด 104 หน่วย ขายได้เพียง 1 หน่วย ยังเหลือขายอีก 103 หน่วย หรือยังเหลืออยู่ 99% มีมูลค่าที่ขายได้เพียง 7 ล้านบาท หรือประมาณว่าขายได้เพียงเดือนละ 0.0%
อันดับที่ 4 ทำเล A4: รังสิต คลอง 1-7 ที่ดินจัดสรร ระดับราคา >20.000 ล้านบาทต่อหน่วย มีทั้งหมด 36 หน่วย ขายได้เพียง 2 หน่วย ยังเหลือขายอีก 34 หน่วย หรือยังเหลืออยู่ 94% มีมูลค่าที่ขายได้เพียง 50 ล้านบาท หรือประมาณว่าขายได้เพียงเดือนละ 0.5%
อันดับที่ 5 ทำเล H8: บางนา ตราด กม.10-30 ที่ดินจัดสรร ระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย มีทั้งหมด 46 หน่วย ขายได้เพียง 2 หน่วย ยังเหลือขายอีก 44 หน่วย หรือยังเหลืออยู่ 96% มีมูลค่าที่ขายได้เพียง 3 ล้านบาท หรือประมาณว่าขายได้เพียงเดือนละ 0.6%
อันดับที่ 6 ทำเล A2: บางขัน คลองหลวง ตึกแถว ระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย มีทั้งหมด 62 หน่วย ขายได้เพียง 2 หน่วย ยังเหลือขายอีก 60 หน่วย หรือยังเหลืออยู่ 97% มีมูลค่าที่ขายได้เพียง 5 ล้านบาท หรือประมาณว่าขายได้เพียงเดือนละ 0.3%
อันดับที่ 7 ทำเล K3: มหาชัย เศรษฐกิจ ตึกแถว ระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย มีทั้งหมด 117 หน่วย ขายได้เพียง 2 หน่วย ยังเหลือขายอีก 115 หน่วย หรือยังเหลืออยู่ 98% มีมูลค่าที่ขายได้เพียง 6 ล้านบาท หรือประมาณว่าขายได้เพียงเดือนละ 0.3%
ทำเลรถไฟฟ้าไม่ควรพลาด
ทำเลรถไฟฟ้าอันดับ 1 สถานีพระราม 9 ซึ่งหลายท่านได้คาดการณ์ว่าจะเป็นทำเลศูนย์กลางทางธุรกิจ (CBD) ใหม่อีกด้วยโดยที่ผ่านมาได้มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการมิกซ์ยูส เมกะโปรเจค เปิดตัวเป็นจำนวนมาก จึงมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางของแหล่งงาน ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และที่อยู่อาศัยแนวสูงจำนวน มีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินอยู่ที่ 14.9% ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
อันดับ 2 คือ สถานีสุขุมวิท อีกหนึ่งย่านศูนย์กลางทางธุรกิจ (CBD) ของกรุงเทพมหานคร ที่แวดล้อมไปด้วยโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์เป็นจำนวนมาก ทั้งศูนย์การค้าขนาดใหญ่ คอนโดมีเนียม โรงแรมหรู และอาคารสำนักงาน โดยมีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินอยู่ที่ 13.5% ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
ส่วนอันดับที่ 3-5 ได้แก่ สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สถานีห้วยขวาง และสถานีสุทธิสาร ซึ่งเป็นสถานีที่ห่างออกมาจากตัวเมืองตามลำดับ จึงมีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินลดหย่อนลงมาตามลำดับเช่นกัน คือ 11.3% 10.2% และ 10.2 ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
การซื้อโครงการจัดสรรหรือห้องชุดใกล้รถไฟฟ้ามีอนาคตแน่ ว่าแต่ว่าเราจะมีกำลังทรัพย์เพียงพอหรือไม่นั่นเอง
บทสรุป
ถ้าเราเล็งทำเลให้ถูก ซื้อตามที่ตลาดอำนวย ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเจ๊ง โอกาสที่บ้านเมืองจะย่ำแย่ (ไปกว่านี้) คงเป็นไปได้ยากมาก แม้จะไม่ได้ดีขึ้นเหมือนสมัยก่อน แต่ถ้าเราจะซื้อบ้านหรือห้องชุด ก็ยังมีความเป็นไปได้ โดยเลือกแบบบ้าน ทำเล และระดับราคาที่มีความต้องการ อย่าไปซื้อสินค้าที่ราคาตกต่ำ ยกเว้นเราจะต่อรองได้มาก ๆ จึงจะคุ้มค่าที่จะเสี่ยงนั่นเอง
อนึ่ง อยากลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อย่าลืมไปศึกษาที่โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย www.trebs.ac.th นะครับ