ภาพของข้าราชการสูงวัยแต่ตำแหน่งเล็กกว่า รดน้ำดำหัวข้าราชการเด็กกว่าแต่ตำแหน่งสูงกว่า หลายท่านคงเคยเห็นและมีความรู้สึกที่แตกต่างไป ดร.โสภณมองว่าเป็นภาพขัดตา ที่ไม่ควรเกิดขึ้น
ในประเพณีสงกรานต์ เราพึงแสดงความเคารพตามอาวุโส ห้ามการรดน้ำตามตำแหน่งเพื่อป้องกันการหวังไต่เต้าตำแหน่งทางลัดด้วยการ 'เลีย' ความโปร่งใสจะทำให้ข้าราชการดีๆ มีกำลังใจทำงานเพื่อชาติ ขจัดการทุจริต ด้วยเหตุนี้ ถ้าประเทศไทยมุ่งหวังที่จะปราบปรามการทุจริตจริง สิ่งหนึ่งที่พึงดำเนินการก็คือการสั่งห้ามประเพณีการดำหัวและการตบเท้าอวยพรให้หมดสิ้นจากวงราชการ จะปล่อยให้ใครมาแอบอ้างวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามที่ควรรักษาไว้ในบ้านและชุมชนมาเป็นเครื่องมือในการไต่เต้ามิได้
ในช่วงสงกรานต์ เรามักจะพบการรดน้ำดำหัวข้าราชการผู้มียศและตำแหน่งสูงกว่า ตั้งแต่ระดับหัวหน้าส่วนราชการ ระดับตำบล ระดับอำเภอ ไปจนถึงระดับจังหวัด บางภูมิภาคกินเวลาเกือบสองสัปดาห์ ในห้วงเวลานั้น การงานก็ย่อหย่อน เลิกงานก็มักก่อนเวลา งบประมาณที่ใช้ถ้าไม่ได้มาจากเงินที่ผ่องถ่ายมาจากส่วนราชการเอง ก็มาจากการ ‘ไถ’ จากภาคธุรกิจ หรือการลงทุนของตัวเอง ซึ่งก็คงคาดหวังถอนทุนในภายหลังและหวังสร้างสายสัมพันธ์เพื่อความก้าวหน้าในวงราชการโดยไม่ได้วัดจากผลงานหรือความสามารถเป็นหลัก
ในปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันดีว่าโอกาสการเติบโตในวงราชการของข้าราชการในแต่ละหน่วยงานนั้น ขึ้นอยู่กับ ‘ดวง’ อันได้แก่ว่าเป็น ‘เด็ก’ ของใคร ได้ ‘วิ่ง’ เพียงพอและต่อเนื่องหรือไม่ และสุดท้ายคือ ‘เงิน’ ถึงเพี่อการซื้อตำแหน่งหรือไม่ ตำแหน่งที่ต้องใช้เงินซื้อนั้น ต้องเป็นตำแหน่งที่มีโอกาสกระทำการทุจริต ‘ถอนทุน’ นั่นเอง วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทยจึงถูกบิดเบือนมาเพื่อการประกอบการทุจริตอย่างเป็นกระบวนการ
ตัวอย่างสำคัญก็คือ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2555 มีข่าวสะเทือนขวัญที่นายตำรวจยศพันตำรวจเอกระดับผู้กำกับนายหนึ่งในอำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร บัญชาการปล้นรถขนเงินของธนาคารแห่งหนึ่งในอำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี นัยว่าเพื่อจะนำเงินจำนวน 14 ล้านบาทที่ได้จากการปล้นเพื่อไปซื้อตำแหน่งเป็นผู้กำกับในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถ้านายตำรวจนายนี้หาเงินในทางทุจริตทางอื่นได้ครบตามจำนวน ก็คงไม่จำเป็นต้องออกปล้น จนเสียอนาคตของตนเองเช่นนี้ นี่แสดงว่ากระบวนการโกงกินได้ฝังลึกในระบบราชการแล้ว
ดังนั้นเพื่อตัดโอกาสการประจบสอพลอ รัฐบาลจะต้องประกาศห้ามการรดน้ำดำหัวข้าราชการเนื่องในประเพณีสงกรานต์โดยเฉพาะห้ามดำเนินการในวันราชการ บุคคลสำคัญต้องไม่จัดงานวันเกิดที่เชิญแขกมามากมายเช่นที่เห็นอยู่ทั่วไป ทั้งนี้ตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการทุกระดับ ยกเว้นการจัดงานในครอบครัวนอกเวลาราชการ ข้าราชการผู้ใหญ่รายใดไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ควรลาออกจากราชการหรือไปอยู่ในภาคธุรกิจ
ยังมีประเพณีเกี่ยวเนื่องที่ทางราชการควรยกเลิกเพื่อตัดตอนการประจบสอพลอที่จะนำไปสู่การทุจริตและประพฤติมิชอบได้แก่:
1. ยกเลิกประเพณีการตบเท้าอวยพรข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในโอกาสเลื่อนยศ เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง
2. ห้ามการเลี้ยงส่งไปรับตำแหน่งใหม่ ฯลฯ
3. ห้ามการเกณฑ์ข้าราชการและประชาชนมาจัดขบวนรับหรือ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่จะเดินทางไปหรือกลับจากต่างประเทศ
4. ห้ามการแห่แหนให้มีริ้วขบวนมาต้อนรับในโอกาสที่ผู้หลักผู้ใหญ่เดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่ต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งนี้เพราะกิจกรรมเหล่านี้นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการกทำงานด้วยลิ้นแล้ว ยังสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินและเสียเวลาการปฏิบัติราชการของข้าราชการเพื่อรับใช้ประชาชนอีกด้วย
ทางราชการต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงว่า การทำงานด้วยลิ้นหรือการเลียนาย เป็นหนทางไต้เต้าที่น่าอัปยศอดสู เป็นบ่อเกิดการทุจริต โกงกิน เป็นการบ่มเพาะเชื้อร้ายในวงราชการ หากสามารถตัดโอกาสการอ้างประเพณีอย่างแนบเนียนมาเพื่อการเลีย และเพื่อการเติบโตในวงราชการทางลัดแล้ว ระบบราชการก็จะได้ข้าราชการที่มีความรู้ ความสามารถจริงมาปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ในภาคประชาสังคม ก็ควรรณรงค์ให้มีการรณรงค์ต่อต้านข้าราชการที่ได้ดีจากการทุจริตและประพฤติมิชอบ เช่น การเดินขบวนไปประท้วงหน้าบ้าน หรือ ณ สถานที่ราชการดังกล่าว การรณรงค์ให้ประชาชนไม่ไหว้หรือไม่แสดงความเคารพคนโกงกิน เป็นต้น การสร้างกระแสสังคมที่ดีงามจากพลังประชาชนเช่นนี้น่าส่งเสริม และจะเป็นการปรามการทุจริตได้ทางหนึ่ง
และในขณะที่รณรงค์ให้ประชาชนไม่ร่วมมือกับการบิดเบือนประเพณีอย่างผิด ๆ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทางราชการยังต้องสั่งยกเลิกหรือห้ามการรดน้ำดำหัวและการตบเท้าอวยพรโดยเด็ดขาดและทันที และจะต้องจัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาสอดส่องและตรวจจับการฝ่าฝืน มีบทลงโทษที่เข้มงวด รวมทั้งดำเนินการลงโทษอย่างจริงจังเมื่อพบการฝ่าฝืน การยกเลิกประเพณีการโกงจึงต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กันทั้งการป้องกัน การให้การศึกษาและการปราบปรามอย่างเอาจริงเอาจัง
สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้นำการทำสงครามกับบิดเบือนประเพณีข้างต้นอันเป็นส่วนหนึ่งของ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างจริงจัง ถ้าราชการไทยสามารถทำได้ บางทีประเทศไทยอาจแทบไม่ต้องมีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปรามการทุจริตแห่งชาติ แต่หากวัฒนธรรมการทุจริตข้างต้นยังอยู่ การดำรงอยู่ของสำนักงานฯ ดังกล่าว ก็คงเป็นแค่ “หัวหลักหัวตอ”
หยุดไต่เต้าด้วยการดรามา แสร้งเอาประเพณีมาใช้เพื่อการเลีย นั่นคือการทำลายประเพณีดีงามชัดๆ