ขนาดประเทศผลิตน้ำมันที่น้ำมันถูกกว่าน้ำ ยังจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ไทยถูกพวก NGOs หลอกให้กลัวจน “ขี้ขึ้นสมอง”
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้เดินทางไปประชุมอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ ณ นครดูไบ และได้ทราบว่า ขณะนี้ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กำลังจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกในโลกอาหรับที่ผลิตน้ำมัน และจะเปิดในปี 2562
สาเหตุที่ประเทศนี้ต้องการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็เพราะ ประการแรกความต้องการไฟฟ้าของประเทศนี้เพิ่มจาก 15 GWe เป็น 40 GWe ในปี 2563 (https://bit.ly/2KsVVAR) และประการที่ 2 น้ำมันของประเทศนี้อาจหมดลงในเวลาไม่กี่สิบปีข้างหน้า ดังนั้น จึงเริ่มมีแนวคิดในการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาตั้งแต่ปี 2552 และคาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2562 หรือปีหน้านี้เอง
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จะสร้างมีชื่อว่า Barakah nuclear power plant (https://bit.ly/2I9kW5G) ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2552 และจะแล้วเสร็จในปี 2562 นั่นเอง อันที่จริงกะจะเปิดในปี 2561 แต่ล่าช้าออกไปเนื่องจากการอบรมเจ้าหน้าที่ยังไม่เรียบร้อย โรงไฟฟ้านี้สร้างโดยบริษัทจากประเทศเกาหลีใต้ มีมูลค่า 24,400 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือประมาณ 756,400 ล้านบาท
กรณีนี้ถือเป็นสิ่งเตือนใจ “เคาะกะโหลก” พวก NGOs ได้เป็นอย่างดีว่า ขนาดประเทศที่เจริญรุ่งเรืองกว่าเรามาก เขาก็ยังไม่กลัวนิวเคลียร์เลย ขนาดประเทศผลิตน้ำมันยังหันหานิวเคลียร์ แล้วไทยเราจะกลัวจน “ขี้ขึ้นสมอง” ไปทำไม อันที่จริงไม่เฉพาะแต่ที่ประเทศนี้ ประเทศเจริญๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น หรือประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่น จีน อินเดีย ต่างก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กระทั่งเวียดนามก็กำลังวางแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่
ถ้าเวียดนามสร้างเสร็จ แล้วเกิด “ระเบิดเถิดเทิง” ขึ้นมา ไทยก็คงไม่รอดเช่นกัน ในอนาคตไม่น่าว่ากัมพูชาก็กำลังจะคิดตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรืออาจเป็นชาติอื่นในแหลมทองหรือในอาเซียน เมื่อนั้นไทยเราก็คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทุกฝ่ายเชื่อว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ยิ่งปลอดภัยกว่าเก่าอย่างแน่นอน ดังนั้นอาการ “ขี้ขึ้นสมอง” ที่พวก NGOs วาดภาพให้ดูน่ากลัวไว้ จึงเป็นเพียงภาพลวงตา
ประเทศไทย “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหล กินน้ำแกง” หาว่าโรงไฟฟ้าแม่เมาะไม่ดี ทั้งที่ทำให้เศรษฐกิจเจริญ และประชาชนก็ผาสุก มีเพียงพวกดื้อแพ่งไม่ยอมย้ายที่โวยวายสร้างปัญหา แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในอำเภอแม่เมาะ ไม่มีปัญหาด้วย ประเทศไทย “ดรามา” ถึงขนาดต้องไปตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ลาว แล้วส่งมาขายได้ ให้ลาวได้มีรายได้อีกต่อหนึ่งก่อน คาดว่าพวก NGOs ไทยคงไม่ได้ใช้หัวสมองคิด แต่อาจคิดด้วย “หัว” อื่น
พวก NGOs อาจตั้งข้อสังเกตว่า ถ้างั้นให้เวนคืนบ้านของ ดร.โสภณ ไปตั้งโรงไฟฟ้าก็แล้วกัน ดร.โสภณ ยินดี เพราะหากจ่ายค่าทดแทนตามราคาตลาด ก็เป็นเงินตารางวาละเกือบ 200,000 บาท รวมที่เกือบ 1 ไร่ และรวมอาคารด้วย ก็คงเป็นเงินนับร้อยล้านบาท แต่คงไม่มีใครเวนคืนที่ดินราคาแพงไปสร้างโรงไฟฟ้า คงต้องเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลและราคาถูกมากกว่า
พวก NGOs อาจ “แค่น” ว่า ให้ ดร.โสภณ ไปสร้างบ้านใกล้โรงไฟฟ้าอยู่อาศัยเลย ถ้าไม่กลัว แต่เรื่องนี้ ดร.โสภณ คงไม่ไป เพราะอยู่ห่างไกลจากที่ทำงาน อย่างไรก็ตามในยุโรปที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ชุกชุมที่สุด จะสังเกตได้ว่า บ้านเรือนประชาชนและไร่นาสาโททั้งหลายมักอยู่รอบๆ โรงไฟฟ้า นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า อย่าได้กลัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จน “ขี้ขึ้นสมอง”
ดร.โสภณ ตั้งข้อสังเกตว่า พวก NGOs ขายชาติ ทำร้ายชาติ เพราะไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ถูกกว่าการผลิตด้วยน้ำมันเช่นที่ไทยผลิตอยู่ หากไฟฟ้าถูกลง ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ย่อมได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน เพราะทำให้สินค้าต่าง ๆ ถูกลง ค่าครองชีพถูกลง ประชาชนย่อมมีความสุข แต่พวกนี้งมงายกับการรักธรรมชาติจนไม่ลืมหูลืมตา และอาจรับเงินจากชาติที่ไม่ต้องการให้ไทยเจริญ จึงพยายามปลุกปั่นไม่ให้ไทยมีโรงไฟฟ้า
อย่าเชื่อ NGOs ขายชาติเด็ดขาด
หมายเหตุ
ดร.โสภณ แม้เป็นนักธุรกิจ แต่ก็เป็น NGOs ด้วย โดยเป็นประธานมูลนิธิอิสรชน ช่วยเหลือคนเร่ร่อน ประธานมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น แต่ไม่ได้เป็น “ขอทานอินเตอร์”เที่ยวไปขอเงินต่างชาติมาเคลื่อนไหวทำลายชาติเช่นพวก NGOs หลายราย หรือเที่ยวไปเคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อ “ตบทรัพย์” เหมือน NGOs บางรายในประเทศไทย