สองปีก่อนก็มีข่าวคุณโจอี้ บอยและคุณสุหฤทจะไปใจไปปลูกป่าที่จังหวัดน่าน นับเป็นสิ่งที่พึงอนุโมทนา แต่ผมขอฟันธง ต่อให้มี 1,000 โจอี้บอยและสุหฤท ก็ช่วยป่าไม้ไม่ได้ แท้จริงการปลูกป่าเป็นการมอมเมาประชาชนเพื่อทำลายป่า! ในแต่ละปี พื้นที่ๆ ปลูกป่าได้ (ส่วนมากตายอีกต่างหาก) มีน้อยกว่าพื้นที่ที่ถูกทำลาย (ขนาดใหญ่กว่า กทม) ต้องเน้นการปราบปราบ ไม่ใช่ปลูก ควรใช้เงินให้ถูกทาง ปลูกป่าไม่ทำให้ชาติได้ป่า แต่ทำให้คนปลูกได้หน้า
อย่าฝันหวานไป ตามข่าวกล่าวว่าทั้งคุณอภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต (โจอี้ บอย) และคุณสุหฤท สยามวาลา ได้บริจาคเงินกันรวมกันร่วม 1 ล้านบาทเพื่อปลูกป่าประมาณ 500,000 ไร่นั้น (bit.ly/26NAdh1) นับเป็นสิ่งที่พึงอนุโมทนาในความปรารถนาดีของทั้งสองฝ่าย แต่สิ่งที่สังคมพึงทราบก็คือ เงินจำนวนนี้แทบไม่ส่งผลต่อการปลูกป่าเลย ท่านทราบหรือไม่ว่างบประมาณในการปลูกป่าแล้วตกเป็นเงินประมาณ 4,000 บาทต่อไร่ (bit.ly/1rgjSjY) ดังนั้นเงิน 1 ล้านบาทจึงปลูกได้เพียง 250 ไร่ ถ้าจะปลูก 500,000 ไร่ ต้องใช้เงินประมาณ 2,000 ล้านบาท ที่สำคัญปลูกแล้วก็ใช่ว่าจะรอด ส่วนมากตายเสียอีก ขนาด ปตท. ยังปลูกป่าได้แค่ 1 ล้านไร่ (bit.ly/1Px1QCQ)
ท่านทราบหรือไม่ว่าปีหนึ่ง ๆ ป่าไม้ของไทยถูกทำลายไปประมาณ 1 ล้านไร่ (http://bit.ly/2hTgMSE) ท่านทราบหรือไม่ว่า 1 ล้านไร่ หรือ 1,600 ตารางกิโลเมตรนั้นกว้างใหญ่ขนาดไหน ถ้าเทียบแล้วก็มีขนาดใหญ่กว่ากรุงเทพมหานครที่ 1,568 ตารางกิโลเมตรเสียอีก นายสืบ นาคะเสถียร ได้สละชีวิตของตนเองเพื่อเรียกร้องให้มีการรักษาป่าไม้ แต่นี่เท่ากับท่านสละชีวิตไปสูญเปล่า เพราะป่าไม้ก็ยังหายไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เราไม่ควรอนุโมทนากับการฆ่าตัวตาย แต่สิ่งที่ท่านทำยิ่งใหญ่กว่าที่คุณโจอี้ บอยและคุณสุหฤททำมากมาย ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เลย
ประเด็นสำคัญที่พึงพิจารณาก็คือ เจ้าหน้าที่ปล่อยให้มีการตัดไม้ทำลายป่ากันมากมายได้อย่างไร ทำไมไม่ปราบปรามอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาก็มักมีข่าวเจ้าหน้าที่หรือ 'ผู้มีสี' ฝ่ายต่างๆ ต่างตัดไม้ทำลายป่ากันมากมาย แต่แทบจับมือใครดมไม่ได้ ดังนั้นการส่งเสริมการปลูกป่า ให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไปช่วยกันปลูก อาจทำให้เป็นกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ที่น่ารักน่าชัง แต่ไม่มีประสิทธิผลแต่อย่างใด ป่าที่ปลูกมักตายในเวลาไม่ช้า การปลูกป่ายิ่งไม่ได้ผล
ที่สำคัญที่สุดก็คือ การปลูกป่ากลายเป็นยาเบื่อเมาให้ประชาชนในเมืองเข้าใจว่าเป็นหนทางการแก้ไข ปัญหาป่าไม้ ดังนั้นใครที่ไปปลูกป่าก็จะได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญกันใหญ่ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ค่อยใส่ใจการปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า เพราะเป็นงานเสี่ยง งานยาก งานที่ต้องจริงจัง หากภาคเอกชนจะทำดีเพื่อป่าไม้ ก็ควรร่วมกันบริจาคเงินเพื่อตั้งทีมอาสาสมัครกล้าตายไปช่วยกันรายงาน-เปิด โปงการบุกรุกทำลายป่ามากกว่าการปลูกป่า โดยจ้าง “มืออาชีพ” ไปสำรวจแล้ว เชื่อว่าการทำเช่นนี้คงช่วยปรามการบุกรุกป่าได้ชะงัดทีเดียว
ในการแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่านั้น รัฐบาลควรเน้นการปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าด้วยมาตรการทางกฎหมายเป็นสำคัญ ไม่ใช่การให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการปลูกป่า หากฉุกคิดกันสักนิด การส่งเสริมการปลูกป่าอาจเท่ากับเป็นการบิดเบือนประเด็น ทำให้สังคมส่วนรวมไม่มีโอกาสตระหนักถึงความจริงที่ทรัพยากรของประเทศถูกปล้น ทำลายลงไปทุกวันเพราะหลงนึกว่าป่าสามารถปลูกเสริมแทนพอกัน ในขณะที่การปลูกป่าจึงกลายเป็นการมองทางออกของปัญหาแบบ 'ม้าลำปาง' ที่กลายเป็นการช่วยไม่นำพา ไม่รบกวนการปล้นทำลายป่าโดยไม่ตั้งใจไป
ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ ดร.โสภณ เสนอแนวทางในการจัดการกับพวกบุกรุกทำลายป่าดังต่อไปนี้:
1. การพิทักษ์ทรัพย์ในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนย้ายทรัพย์ซึ่งนำเข้ามาในพื้นที่อย่างผิดกฎหมาย
2. ส่งฟ้องศาล ซึ่งตามกฎหมาย ทรัพย์เหล่านั้นย่อมตกเป็นสมบัติของแผ่นดิน อย่าให้ใครอ้างความจนมาทำลายชาติ
3. ทำการประเมินค่าทรัพย์สินที่ดินนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน
4. จัดการประมูลโดยกรมบังคับคดีหรือหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้เพื่อการใช้ประโยชน์ นำรายได้เข้ารัฐ
5. นำเงินที่ได้จากการประมูลมาใช้เพื่อการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าในขอบเขตทั่วประเทศต่อไป
หากทางราชการสามารถดำเนินการให้ได้เช่นนี้ ก็จะเป็นการสร้างความโปร่งใสและเป็นบรรทัดฐานในการจัดการป่าไม้ซึ่งที่ดิน ของรัฐหรือของส่วนรวมเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่ายต่อไป โปรดจำไว้ว่า
1. ป่าถูกทำลายไปขนาดพอๆ กับพื้นที่ทั้ง กทม. ปลูกเท่าไหร่ ก็ไม่ทันการทำลาย เราจึงต้องเน้นการปราบปราม
2. ค่าปลูกป่าให้ยั่งยืนก็ตกเป็นเงินไร่ละ 4,000 บาท โจอี้บอย+สุหฤท บริจาค 1 ล้าน ก็ปลูกได้แค่ 250 ไร่ ไม่ใช่เป็นแสนไร่ แถมที่เขาปลูก ๆ กันมายังตายเกือบหมด
อย่าลืมคำผู้ว่าฯ น่านที่ว่า “หยุด “อีเวนต์ปลูกป่า ที่ทำกันเพียง เกณฑ์คนมาปลูก ถ่ายรูป จบงาน” (bit.ly/1rQopKM) ทำไปไร้ผล คนทำได้หน้า!