ด่วน เตือนภัยเศรษฐกิจ ที่ประยุทธ์ต้องรู้
  AREA แถลง ฉบับที่ 370/2561: วันพุธที่ 01 สิงหาคม 2561

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            ตอนนี้เศรษฐกิจแย่ คนซื้อบ้านที่เป็นผู้มีรายได้น้อย มีน้อยลงมาก ที่ดีอยู่ก็เฉพาะผู้มีรายได้ปานกลางถึงรายได้สูงเป็นสำคัญ เศรษฐกิจแย่แบบนี้รัฐบาลพึงทราบเป็นอย่างยิ่ง

ดูวิดิโอ fb Live คลิกที่ลิงค์นี้: https://www.facebook.com/dr.sopon4/videos/1694288780683701/

 


 

            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้ออก facebook live เมื่อเช้าวันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 โดยกล่าวว่าครึ่งแรกของปี 2561 นี้ มีโครงการเปิดใหม่เพียง 45,873 หน่วย แต่มีการขายได้ถึง 56,754 หน่วย แสดงว่าขายได้มากกว่าผลิต เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินมีการเตรียมตัวดี ไม่เสี่ยงพัฒนาที่ดินมากจนเกินไป นับได้ว่าผู้เกี่ยวข้องให้ความสำคัญของข้อมูลเพื่อการวางแผนได้เป็นอย่างดี 

            อย่างไรก็ตาม ดร.โสภณ ประเมินให้เห็นว่า ในครึ่งปีแรกของปี 2561 นี้ แม้มีผู้จองซื้อบ้านไปมากถึง 56,754 หน่วย ก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้สูงเป็นสำคัญ ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซื้อบ้านแทบไม่ได้ นี่คือสัญญาณอันตรายของระบบตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ 25% ของหน่วยขาย คือที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย คือไม่เกิน 2 ล้านบาท สินค้าที่ขายเกิน 2 ล้านบาท คงไม่ได้เป็นสินค้าสำหรับผู้มีรายได้น้อย

            สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อย แต่เป็นผู้มีรายได้ปานกลาง และปานกลางค่อนข้างน้อย คือสินค้าที่มีราคา 2.01-5.0 ล้านบาทนั้น มีจำนวนหน่วยที่ขายได้ถึง 57%  ส่วนสินค้าที่มีราคาสูงหรือค่อนข้างสูงขึ้นไป คือราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทนั้น มีจำนวน 19% อย่างไรก็ตาม สินค้าสำหรับผู้มีรายได้สูงจำนวน 19% มีมูลค่ารวมกันถึง 45% ของทั้งหมด อีก 45% เป็นมูลค่าของสินค้าราคาปานกลางจนถึงปานกลางค่อนข้างต่ำ ส่วนที่เป็นของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งซื้อกันด้วยหน่วยขาย 25% นั้น มีมูลค่ารวมกันแค่ 10% เท่านั้น นี่แสดงว่าผู้มีรายได้น้อยซื้อบ้านได้น้อยมาก

            เมื่อเทียบกับปี 2556 หรือเมื่อ 5 ปีก่อน ในครึ่งแรกของปีเช่นกัน จะพบว่า สินค้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท มีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่ง (52%) และมีมูลค่ารวม 26% แต่บัดนี้ลดลงเหลือ 25% และ 10% ตามลำดับ ในทางตรงกันข้าม สินค้าที่มีราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปนั้น เมื่อปี 2556 มีเพียง 11% ของจำนวนหน่วย รวมมูลค่าเพียง 33% แต่ในปี 2561 ปรากฏว่ามีสัดส่วนจำนวนหน่วยเพิ่มเป็น 19% และมูลค่าเพิ่มเป็นถึง 45% แล้ว

            ข้อสังเกตสำคัญประการหนึ่งก็คือ หากเราถามสมาคมหรือนักพัฒนาที่ดินรายใหญ่ ๆ จะพบว่า ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ขายได้ดี ดูท่าทางเศรษฐกิจจะฟื้นแล้ว อันนี้เป็นการเข้าใจผิด หากรัฐบาลฟังแต่เสียงนักพัฒนาที่ดินกลุ่มหนึ่งเท่านั้น โดยไม่เข้าใจตลาดโดยรวม ก็อาจทำให้หลงทิศผิดทางไปกันใหญ่ ทุกวันนี้แม้แต่บริษัทพัฒนาที่ดินที่สร้างบ้านให้ผู้มีรายได้น้อย ก็เลิกสร้าง หันไปจับตลาดระดับบน เพราะสินค้าระดับบนขายได้ แต่สินค้าระดับล่างกลับขายไม่ได้

            ในอีกแง่หนึ่งการที่ผู้มีรายได้น้อยซื้อบ้านน้อยมากนี้ หากรัฐบาลกลับไปส่งเสริมให้ซื้อทั้งที่เขามีกำลังซื้อจำกัด ก็ยิ่งเป็นการสร้างหนี้ให้เขาอีก และจะไม่สามารถขายได้ ที่จะขายได้ก็คือการขายให้กับข้าราชการ ซึ่งก็ได้เปรียบทางสังคมมากกว่ากลุ่มอาชีพเอกชนอยู่แล้ว การสร้างบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย จึงนับว่าเป็นการคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในยุคนี้นี่เอง ควรให้กลไกตลาดเป็นผู้ปรับฐานในอนาคตมากกว่า

            การที่เศรษฐกิจไม่ดีนี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งให้ประชาชนได้ทราบ และจะได้เตรียมตัวรัดเข็มขัด และรัฐบาลควรจะหาทางสร้างรายได้ให้กับประชาชน เช่น

            1. ดุนข้าราชการออกไปบ้าง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพของการบริการภาครัฐ

            2. การประกันราคาข้าว จากแต่เดิมประกันที่ 13,000 บาท ก็อาจเหลือ 9,000 บาท หรือประกันราคายางจากแต่เดิม 110 บาท ก็อาจเหลือ 80 บาท เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ

            3. กำจัดเครื่องถ่วงที่ "เตะตัดขา" ประชาชน เช่น การเร่งกำจัดยาบ้า และการปราบหวยใต้ดิน ให้มีหวยบนดินเช่นในสมัยรัฐบาลยุคก่อน ซึ่งประชาชนจะได้ประโยชน์โดยตรง

            ข้างต้นจึงเป็นข้อเท็จจริงที่รัฐบาลควรทราบและตระหนักให้ดี

อ่าน 3,071 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved