ในวงการต่างๆ จะมีนายกหรือประธานสมาคมจอมหากิน ไม่ได้มุ่งทำประโยชน์ต่อวิชาชีพ ไม่ได้มุ่งทำประโยชน์ต่อสังคม แต่มุ่งทำประโยชน์ต่อตนเองและบริวาร ขออนุญาต "แกว่งเท้าหาเสี้ยน" เปิดโปงสักหน่อย
พวกนี้มักจะได้แก่พวกที่เป็นนายกสมาคมแบบผูกขาดยาวนาน ไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ อยู่จนรากงอกไปเรื่อย ซึ่งในความเป็นจริง ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่ในวงการนั้นๆ หาคนดีไม่ได้แล้ว เพราะ "กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี" อย่างแน่นอน แต่ที่พวกนี้สามารถครองอำนาจยาวนาน ก็เพราะบ้างเคยเป็นข้าราชการใหญ่โต ผู้คนเลยเกรงใจ บ้างเข้ามาแล้วเลยสร้างอาณาจักรส่วนตัว เอาพรรคพวกมาเกาะอินองค์กร ทำให้คนอื่นเข้าไม่ถึง
ในประเทศอินเดีย (ยกตัวอย่างในประเทศไม่ได้) มีสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินแห่งหนึ่ง นายกสมาคมอยู่จนได้ลูกมาเป็นนายกสมาคม ทางออกของคนในวงการซึ่งเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน ก็คือไปตั้งสมาคมใหม่ อาการที่ในวงการหนึ่งๆ มีสมาคมหลายแห่งก็เพราะการช่วงชิงผูกขาดเป็นปฐมนั่นเอง และสุดท้ายพอพวกนี้ "กัดกันอย่างกับหมา" ฟ้าก็มาโปรด โดยมีการตั้งองค์กรขึ้นมากำกับวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินโดยตรง บทบาทของสมาคมดังกล่าวเลยลดน้อยลงไป แต่เรื่องดีๆ แบบ Happy Ending คงเกิดขึ้นยากในแผ่นดินไทย!?!
พวกนี้บ้างก็ใช้กลยุทธ์สลับเก้าอี้ คงแบบเดียวกับปูตินกับดมีตรี เมดเวเดฟสลับตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ครองอำนาจยาวนานโดยไม่ถูกหาว่า "ผูกขาด" แต่บางประเทศก็ผูกขาดให้สภาลงมติให้ตนเองอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานจนกว่าจะเบื่อ ในวงวิชาชีพก็มีการสลับตำแหน่ง คนนี้ขึ้นตำแหน่งสมาคมนี้พอหมดวาระไปต่อไม่ได้ ก็ไปสลับกับอีกสมาคมหนึ่ง ที่น่าอนาถก็คือ พออยู่ไปนานๆ เข้าก็กีดกันคนอื่น เอาพรรคพวกมาผูกขาดสมาคมจนเกิดอาการ "เน่าใน"
ทำไมในวงการจึงมีเรื่อง "ทุเรศ" แบบนี้ ก็เพราะพวกที่มาเป็นนายกสมาคมนี่แหละที่พยายามที่จะเอาประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง พอเป็นนายกฯ ก็มักจะ
1. ได้รับเชิญไป "ชูคอ" ร่วมงานโน่นนี่
2. สร้าง "คอนเนคชั่น" ได้
3. ได้ไปร่วมอบรม "ระดับสูง" ต่าง ๆ ฟรีๆ สบายๆ
4. ได้เปรียบในการหางานเข้าบริษัทของตัวเอง
5. เผลอๆ อาจได้ลาภยศสักการะเสียอีก ฯลฯ
ในวงการบางแห่ง ยังมีการตั้งสมาคมหรือองค์กร "หุ่นเชิด" ขึ้นมา จนกระทั่งสามารถครอบงำในการ "สรรหา" สภาที่ปรึกษาหรือสภาการค้าต่าง ๆ ได้อีก แบบนี้ความซับซ้อนในการเป็นองค์กรไม่โปร่งใสก็ยิ่งมีมากขึ้น ในเมื่อพวกนี้มาจากการกึ่งโกง กึ่งผิดกฎหมาย ก็จึงมักจะกลายเป็นเครื่องมือในการโกง ถ้าเป็นนักวิชาชีพก็จะกลายเป็นแค่ "ตราประทับ" และอาจร่วมกับผู้มีอำนาจโกงธนาคาร โกงลูกค้า โกงราชการหรือโกงชาติได้อีก
ทางที่สมควรก็คือ ในวงการต่าง ๆ เราควรสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยให้ทุกคนมีส่วนร่วม ให้มีการเลือกตั้งโดยนักวิชาชีพ ไม่ปล่อยให้มี "อภิชน" ที่เหนือกว่า มีอำนาจชี้นิ้ว "ชี้นกเป็นไม้" และให้คนที่ได้รับเลือกตั้งมีวาระที่ชัดเจน และในระหว่างเป็นนายกฯ เป็นกรรมการสมาคมหรือองค์กร ต้องเจียดเวลาทำเพื่อส่วนรวมราว 50% ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตา (เอาตำแหน่ง) ไปหากิน
การควบคุมของทางราชการก็เป็นสิ่งสำคัญ การควบคุมนักวิชาชีพ ย่อมทำเพื่อประโยชน์ของมหาชน โดยรัฐบาลที่ (ควร) มาจากประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้เรียกกันเท่ๆ ว่าองค์กรปกครองตนเอง (Self Regulatory Organization) เพราะพอถึงทีพรรคพวกของตัวเองโกง ก็ไม่อาจตัดสินอย่างเที่ยงธรรมอยู่ดี รัฐบาลต้องมาควบคุมนักวิชาชีพ ตั้งสภาวิชาชีพที่ไม่ใช่ให้แต่นักวิชาชีพคุมกันเอง กลายเป็นแก๊ง เป็นก๊ก การไม่มีสภาวิชาชีพ ก็คือการเปิดช่องโหว่ให้เกิดการโกง เพราะขาดความโปร่งใส ขาดการตรวจสอบนั่นเอง
ผีมักกลัวแสงสว่างคือความเป็นประชาธิปไตยนั่นเอง
ปล. ผมก็เป็นประธานมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ผมออกเงิน 200,000 บาท ตั้งมูลนิธินี้มาเมื่อปี 2544 ออกเงินเอง ไม่ได้ไป "ชุบมือเปิบ" เป็นนายกสมาคมที่ไหน แต่ตำแหน่งประธานมูลนิธิก็เปลี่ยนมา 3 ท่านแล้ว ผมไม่ได้ผูกขาด ผมยังเป็นนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ ตั้งใจว่าเมื่อเข้าที่เข้าทางแล้ว จะได้ให้คนอื่นเป็นเพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ผมยังเคยเป็นกรรมการสมาคมหลายแห่ง เป็นนานเข้าก็ลาออกหวังให้มีการหมุนเวียนบ้าง แต่มีผมลาออกมาคนเดียว!?!