การที่อาคารผู้โดยสารที่ 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ จะใช้ไม้โดยเฉพาะไม้สนจากต่างประเทศ เป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยในด้านค่าไม้  ถ้าจะใช้ไม้ ทำไมไม่ใช้ไม้ยางพาราไทยๆ

            คุณดวงฤทธิ์ บุนนาค ท่านผู้ชนะการออกแบบอาคารผู้โดยสารที่ 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวถึงไม้ปริมาณ 80,000 ลบ.ม. ที่ท่านออกแบบให้ใช้สำหรับอาคารผู้โดยสารที่ 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิว่า "ไม่ใช่ไม้สักนะ แพงไป ที่วางไว้เป็นไม้ตระกูลซีดาร์ หรือ สน ซึ่งมีทั้งที่ญี่ปุ่น อเมริกา สวีเดน หรือแม้กระทั่งออสเตรีย" (https://bit.ly/2o8gKru) ประเด็นนี้ เรื่องน่าห่วงก็คือราคาไม้ที่จะนำเข้าจากต่างประเทศ

            ราคาไม้ Red Cedar ขนาด 8 x 8 นิ้ว  ยาว 30 ฟุต ตกเป็นเงินประมาณ 374 ดอลลาร์ (https://goo.gl/H8HtDe) หรือ 12,342 บาท ไม้ขนาดนี้มีปริมาณเท่ากับ 0.25170532 ลบ.ม. หรือ 49,034 บาทต่อ ลบ.ม. หากใช้ถึง 80,000 ลบ.ม. ก็จะเป็นเงินถึง 3,923 ล้านบาท  หากเพิ่มค่าขนส่งเข้ามาในประเทศ 30% และลดราคาลง 30% ในกรณีซื้อไม้จำนวนมากๆ ก็ยังเป็นเงินเท่านี้ แต่ไม่แน่ว่าทางราชการอาจจัดซื้อในราคาสูงกว่านี้หรือไม่ก็ได้

            ในขณะที่ไม้ยางพาราอบแห้งที่แพงที่สุดที่ขนาด 76.2 ม x 76.2 ม x 1.0 เมตร ตกเป็นเงิน 521 ดอลลาร์ หรือ 17,193 บาทต่อ ลบ.ม. (https://goo.gl/Bhukf2) เท่านั้น ถ้าใช้ไม้ยางพารา 80,000 ลบ.ม. ก็จะเป็นเงินเพียง 1,375 ล้านบาท สามารถประหยัดต้นทุนได้ถึง 2,548 ล้านบาท และไม่แน่ว่าราคายางถูกกว่านี้เหลือเพียง 1,100 ล้านบาท (ลดลง 20%) เพราะการซื้อขายจำนวนมากนั่นเอง

            ดังนั้นอาคารผู้โดยสารที่ 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ จึงไม่ควรใช้ไม้สนจากต่างประเทศตามการออกแบบ แต่ควรใช้ไม้ไทยๆ โดยเฉพาะไม้ยางพาราที่มีแนวโน้มราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง (https://goo.gl/e65pVi) จนถึงจุดวิกฤติก็ว่าได้ เนื่องจากความต้องการลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามการสร้างสนามบินไม้ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร ควรได้รับการทบทวนเป็นอย่างยิ่ง โดยอาจให้มีการประกวดราคาใหม่ และคณะกรรมการที่ตัดสินให้ใช้แบบ "สนามบินไม้" ควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย

สนามบินไม่ควรใช้ไม้ แต่ถ้าจะใช้ เรามีไม้ยางพาราราคาตกมากมาย ไม่ควรใช้ไม้สนต่างประเทศ
ที่มา: https://www.prachachat.net/local-economy/news-186981