สองวันก่อนมีหมอดูท่านหนึ่งทักว่าผมจะหัวใจวายตาย ถ้ารื้ออาคารสำนักงานของผมแล้วสร้างขึ้นใหม่ เรื่องนี้ก็เป็นไปได้ เพราะตอนเด็กๆ ปอดและหัวใจผมไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยบ่อยๆ ตอนนี้อายุมากแล้ว อาจเครียดจนหัวใจวายตายได้ แต่ผมไม่เชื่อหมอดูครับผม
ผมสังเกตดูว่าหมอดูมักจะเอาเรื่องการมองเห็นอนาคตมาขู่ให้คนไม่กล้าตัดสินใจอะไรบางอย่าง แล้วเราก็จะหลงไปกับคำแนะนำสารพัด ซึ่งหลายคนก็ทำตามเพื่อความสบายใจ แต่สุดท้ายก็จะตกเป็น "เหยื่อ" ในการให้เขาช่วยทำพิธีรวมถึงเรื่องฮวงจุ้ยอีกสารพัดก็จะตามมา แต่หมอดูรายที่ทักผม ท่านคงไม่ได้หวังเงินทอง แต่คงมั่นใจในตัวเองสูงว่ามีอะไรดีที่จะช่วยคนอื่นได้ แต่เราต้องไม่งมงาย
ผมจึงเขียนเรื่องนี้เพื่อเตือนสติ พระพุทธเจ้าก็ไม่ทำนายทายทักว่าใครจะตาย มีเคราะห์กรรม การที่ปุถุชนสักคนมาทำนายทายทักในฐานะหมอดู เราจึงต้องไม่ไปหลงเชื่อ พระพุทธเจ้ายังไม่ถือฤกษ์ยาม แต่ความยุ่งยากในการก่อสร้างอาคาร ก็เกิดขึ้นได้ เพราะอาคารสำนักงาน 5 ชั้นของผม ซึ่งวางแผนจะสร้างใหม่เป็น 8 ชั้นนั้น ล้อมรอบด้วยบ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อาจต้องรบกวนเพื่อนบ้าน ไม่มากก็น้อย ตั้งแต่ตอนรื้อถอนถึงตอนสร้างใหม่ ด้วยความเครียดอาจทำให้หัวใจวายได้!?!
ผมเคยรู้จักท่าน ดร.ถนอม อังคณะวัฒนา เสียดายท่านวายชนม์ไปแล้ว ท่านก่อสร้างตึกวอลล์สตรีททาวเวอร์บนถนนสุรวงศ์ สูง 30 ชั้น อยู่ชิดติดกับตึกแถว บ้านชาวบ้านมากมาย ในระหว่างก่อสร้าง 3-4 ปี ท่านต้องเดินไป "ทำงานมวลชน" เยี่ยมเยียนเพื่อนบ้านโดยรอบอย่างสม่ำเสมอ จนในที่สุดก็ก่อสร้างสำเร็จโดยอาคารนี้ไม่ได้เว้นระยะร่น 6 เมตรตามกฎหมายใหม่ด้วยซ้ำ (ตอนนั้นยังไม่บังคับใช้)
คนเราต้องมีสติ เรื่องสร้างตึกแค่นี้ จะไปทำให้หัวใจวายได้อย่างไร ถ้าเราต้องสูญเสียบุคคลที่เรารักไป เราก็ต้องทำใจ จะตายตามไปก็คงไม่ได้ ถ้าก่อสร้างล่าช้าออกไป ไม่ช้าก็เร็ว ก็ยังสร้างเสร็จได้อยู่ดี อาจเสียโอกาสไปบ้าง แต่ถ้าสร้างไม่ได้จริงๆ ก็ยังมีที่ดินเหลืออยู่มูลค่าพอสมควร ขายไปแล้วให้ลูกเมียใช้สอยอย่างประหยัดทั้งชาติก็ไม่หมด เคยมีอาจารย์สถาปนิกชื่อดังสร้างตึกใหญ่โต ไม่แน่ใจว่าจะรอดไหม จึงไปถามหมอพระ หมอพระก็ทำนายให้สร้างได้ สุดท้ายก็เจ๊ง กรณีนี้คงไม่ได้ทำวิจัยตลาดให้ดีพอต่างหาก
ยิ่งกว่านั้น ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ระหว่างก่อสร้าง ผมไปเดินดูงาน แล้วเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต เรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นกับนักพัฒนาที่ดินรายหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้าของผมจนเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้วเมื่อราว 2 ปีก่อน ความตายเป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักปลงมรณานุสติ ยังมีความเป็นไปได้ที่ผมอาจตายด้วยคมหอกคมดาบเพราะไปวิจารณ์การเมืองบ่อยๆ แต่ผู้มีอำนาจก็รู้ว่าผมไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร เขาเลยไม่อยากเปลืองกระสุนให้ยุ่งยากก็เป็นไปได้
ผมยังมีโอกาสตกเครื่องบินตายมากกว่าคนอื่น ในปี 2561 ผมเดินทางไปต่างประเทศรวม 122 วันหรือหนึ่งในสามของปี ผมเป็นคนกลัวเครื่องบิน แม้ขึ้นบ่อยขนาดไหนก็ไม่คุ้นชิน แต่หลายครั้งที่พบการสั่นสะเทือนรุนแรง ผมก็ปลงมรณานุสติ เหมือนกรณีคุณเจมส์ข้าวมันไก่ที่เคยรอดจากเครื่องบินตกมาแล้ว คุณเจมส์เล่าว่าถึงเวลานั้นก็เลยขีดความกลัวไปแล้ว ผมจึงคิดได้ว่าเราจะมัวร้องแรกแหกกระเชอ ก็คงเปล่าประโยชน์ เอาเวลาไม่กี่วินาทีที่เหลือนึกถึงแต่สิ่งดีๆ แผ่ส่วนกุศลจะดีกว่า
พวกหมอดูมักจะชอบให้เรายำเกรงต่อสิ่งลี้ลับ เราต้องยืนหยัดในความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ อาคารสำนักงานของผมนั้นได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ปล้นหรือโกงใครมา ไม่ได้ใช้เงินสกปรกไปซื้อมา ผมสู้อุตส่าห์ไม่ใช้ชีวิตแบบ "เสี่ย" ไม่นิยมขี่รถหรู ไม่มีคนขับรถ ไปไหนไม่มีลูกหาบคอยรับใช้-ประดับบารมีให้สิ้นเปลือง ภริยาซึ่งเป็นนางแก้วของผม ก็ไม่เคยแต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่าให้สิ้นเปลืองเลย ผมบูชาความดีงามของเธอมาก ถ้าไม่มีเธอ ผมก็คงไม่สามารถเก็บเงินซื้อตึกของตัวเองได้อย่างนี้ สมบัติของผมได้จากการรีดเร้นกายใจของผม จึงไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณต่อสิ่งลี้ลับใด
พรดีๆ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คงได้จากการที่แม่และแม่ยายของผมคอยสวดมนต์อวยพรให้ผมทุกวัน น้องชายของผมก็คอยไหว้พระไหว้เจ้าที่บริษัทของผมทุกวัน และน้องสาวที่คอยดูแลบริษัทให้เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความรักความอบอุ่นในครอบครัว บำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้นผมเองก็ทำมาหากินแบบสัมมาอาชีพ ไม่ได้ทำธุรกิจสีเทา แถมยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อทิศทั้ง 6 เป็นอย่างดี สิ่งชั่วร้ายใดๆ จึงมาขวางผมไม่ได้เลย
ส่วนร่างกายของผมนั้น ตอนเด็กๆ อายุ 4-5 ขวบ ผมป่วยบ่อยมากเกี่ยวกับปอดและหัวใจ ผมเคยสูบบุหรี่วันละ 50 มวนซึ่งในแง่หนึ่งผมก็อาจหัวใจวายตายได้ แต่ไม่ต้องห่วง ผมวิ่งออกกำลังกายหลังอายุ 5 ขวบทุกวันจนน่องแข็งคล้ายคนถีบสามล้อ บุหรี่ผมก็เลิกมา 20 ปีแล้ว เมื่อ 5 ปีก่อนผมยังว่ายข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาได้ ผมวางแผนจะว่ายจากปิ่นเกล้าไปพระราม 8 ระยะทาง 1 กิโลเมตรในวันหน้าอีก แต่สิ่งที่หมอดูทักนั้น ทำให้ผมต้องลดน้ำหนักเพราะรุ่นพี่ผมหลายท่านที่ยังมีชีวิตอยู่จนอายุ 70-80 ปี มักมีรูปร่างเพรียวบางกัน
คุณยายของผมสอนไว้ว่าฮวงจุ้ยเป็นปัจจัยความสำเร็จที่เป็นอันดับสาม ไม่ใช่อันดับหนึ่งหรืออันดับสองซึ่งหมายถึงบุญกรรมทำแต่งหรืออานิสงส์ผลบุญ การที่เขาจัดเรียงเป็นอันดับสาม เพื่อให้คนได้สังวร ไม่ไปหลงงมงาย ฮวงจุ้ยสำคัญในฐานะที่เป็นทำเลที่ตั้ง อย่างกรณีทิศ คนไทยชอบหันหน้าทางทิศตะวันออกเพื่อรับอรุณ ส่วนคนยุโรปหรือเนปาลอาจชอบทิศตะวันตกเฉียงใต้เพราะในหน้าหนาว แสงแดดส่องมา ตัวบ้านก็ยังอบอุ่นอยู่แม่ในช่วงค่ำเพราะอมความร้อนไว้นั่นเอง
เราต้องคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ต่อต้านสิ่งงมงาย "ข้าขอลิขิต ชีวิตข้าเอง ไม่เกรงดินฟ้า"