นายกฯ แถลงในรายการคืนวันศุกร์ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตมากขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ประชาชนรู้สึกไม่ได้ จนธนาคารโลกต้องออกมากระตุ้นรัฐบาลไทยลดความเหลื่อมล้ำ ไทยเรามีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจนับแต่นี้ไป รองบ๊วยในอาเซียน ระวังเศรษฐกิจทรุดกระทันหัน!
สืบเนื่องมาจากนายกรัฐมนตรี ได้พูดในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" เมื่อวันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 เวลา 20.15 น. ท่านกล่าวว่า ". . .ธนาคารโลกได้แสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตแข็งแรงอย่างต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2 ปี ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญก็คือการเติบโตจากความต้องการสินค้าและบริการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนและภาครัฐ. . ."( https://bit.ly/2Sa6Aaf) ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) คาดว่านายกฯ คงจะได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน จึงขอนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจน ดังนี้:
1. เศรษฐกิจไทยในปี 2561 เติบโตด้วยตัวเลข GDP ที่สูงขึ้นจริง แต่อยู่ในลักษณะ "รวยกระจุก จนกระจาย" ในรายงานของธนาคารโลกที่นายกฯ อ้างถึง ยังชี้ให้เห็นว่าไทยต้องแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำให้ได้ โดยระบุว่าคนไทยไม่ถึง 40% ที่รู้สึกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นจริง แต่ประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านต่างรู้สึกว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งกัมพูชา มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียถึง 50%-70% (https://bit.ly/2HBopes)
2. จากข้อมูลของ IMF ระบุว่า ประเทศไทยเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 8 นับจาก 10 อันดับในอาเซียน แพ้ทุกประเทศ ยกเว้นสิงคโปร์และบรูไน ในช่วงระหว่างปี 2558-2561 คือหลังรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา และนับแต่ปี 2562-2565 อัตราการเจริญเติบโตของไทย จะหล่นลงไปสู่อันดับที่ 9 ชนะแค่สิงคโปร์ ที่เป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในอาเซียน ซึ่งแม้จะมีอัตราการเติบโตที่น้อยกว่าไทย แต่ก็ถือว่ามหาศาล (https://bit.ly/2DCRyzt) ดังนั้นคำแถลงของนายกฯ จึงแทบไม่มีความหมายเลยเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจไทยในอนาคตที่จะเติบโตเกือบต่ำสุดในอาเซียน
3. ที่นายกฯ แถลงว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยเกิดจากความต้องการสินค้าและบริการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนและภาครัฐ ก็เท่ากับเป็นภาวะ "อัฐยายซื้อขนมยาย" เข้าจากระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา ไม่ได้เกิดจาการที่เราสามารถนำเงินตราเข้าประเทศได้มากจากการส่งออก การพึ่งพิงกำลังซื้อภายในเป็นหลัก คงจะทำให้เศรษฐกิจไม่แข็งแกร่งจีนอย่างที่เข้าใจผิด
ดังนั้น ส่วนราชการ สถาบันการเงิน นักพัฒนาที่ดิน นักลงทุน กระทั่งประชาชนทั่วไปจึงควรสังวรเป็นพิเศษ หากทุ่มลงทุนไปอาจทำให้เสียโอกาสได้