ถ้าไม่มีรัฐประหาร นักท่องเที่ยวแตะ 48 ล้านคนแล้ว
  AREA แถลง ฉบับที่ 44/2562: วันอังคารที่ 29 มกราคม 2562

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

          นายกฯ เข้าใจผิด การที่นายกฯ คุยฟุ้งว่ารัฐประหารทำชาติสงบ นักท่องเที่ยวพุ่งนั้น ความจริงแล้วรัฐประหารต่างหากที่ทำให้นักท่องเที่ยวลด

          เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่า "'บิ๊กตู่'เยือนสระบุรี โว ไม่มีใครทำได้เหมือนรบ.นี้ ฟุ้ง รปห.ทำชาติสงบ ยอดท่องเที่ยวพุ่ง" (https://bit.ly/2SbQ8Gr) โดยมีสาระว่า "ปัจจุบันถือว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยมากที่สุดในช่วงนี้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทำไมคนถึงมาเที่ยวมากในช่วงรัฐบาลนี้ แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ที่ไม่มีปัญหาความขัดแย้งตามท้องถนน ถือเป็นเรื่องสำคัญในการเดินหน้าประเทศ"

 

          กรณีนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง กล่าวคือ ในช่วงปี 2554-6 นั้น นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปี ๆ ละ 16.2%-18.8% มาลดอย่างชัดเจนเมื่อมีรัฐประหารเกิดขึ้น โดยในปี 2557 ลดลง 6.5% จะเห็นได้ว่าแม้ปี 2556 จะมีการประท้วงรัฐบาลกันอย่างต่อเนื่องจนถึงการก่อตั้ง กปปส.ในปลายปีดังกล่าว นักท่องเที่ยวก็ยังเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามในปี 2558 นักท่องเที่ยวก็กลับเพิ่มเข้ามาใหม่  ถ้านักท่องเที่ยวในช่วงปี 2557-2559 เพิ่มขึ้นปีละเฉลี่ย 15% ตามแนวโน้มที่ควรจะเป็น ส่วนปี 2560 เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนที่เป็นจริงคือ 8.8% และปี 2561 เพิ่มขึ้น 10% (มากกว่าสถิติที่ 8.2% ซึ่งลดลงเพราะนักท่องเที่ยวจีนประท้วงไม่เข้าประเทศไทย) ก็จะพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2561 ควรจะเป็น 48.320 ล้านคน แทนที่จะเป็นเพียง 38.277 ล้านคนที่เป็นตัวเลขจริงในปัจจุบัน

          ถ้านำจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจริงเมื่อมีรัฐประหารแล้ว กับตัวเลขที่น่าจะเห็นหากไม่มีรัฐประหารมาเทียบ ก็จะพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวขาดหายไปถึง 37.337 ล้านคนที่ควรจะเข้ามาเที่ยวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2557-2561)  จากข้อมูลปี 2561 ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 38.277 ล้านคน และทำให้เกิดการใช้จ่ายถึง 2.008 ล้านล้านบาทนั้น คิดเป็นหัวละ 52,446 บาท หรือเท่ากับนักท่องเที่ยวที่หายไป 37.337 ล้านคนนั้น ทำให้รายได้เข้าประเทศหายไป 1.958 ล้านล้านบาท

          ความวุ่นวายทางการเมืองบนท้องถนนก่อนหน้านี้นั้นดูเหมือนเป็นการปูทางไปสู่รัฐประหาร เมื่อเกิดรัฐประหารก็เท่ากับได้โค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และนำทางไปการ "ปฏิรูป" (ซึ่งอาจไม่ได้ปฏิรูปอะไรจริง) ตามที่คณะผู้ก่อความวุ่นวายก่อนรัฐประหารตั้งใจไว้ ด้วยเหตุนี้กลุ่มนี้จึงเลิกสร้างความวุ่นวายบนท้องถนน ในขณะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามกับคณะผู้ก่อความวุ่นวายข้างถนน ก็ถูกจับกุมและควบคุมจนไม่สามารถเคลื่อนไหวใด ๆ ได้ภายใต้กฎอัยการศึก

คลิกดูรูปภาพใหญ่

 

          นับตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมา โครงสร้างนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าในปี 2546 นักท่องเที่ยวหลักของไทยมาจากยุโรปถึง 23% แต่ในปี 2561 เหลือสัดส่วนเพียง 18%  มีอัตราเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 2% เท่านั้น  ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในปี 2546 มีสัดส่วนเพียง 17% แต่เพิ่มขึ้นเป็น 28% ในปี 2561 หรือเพิ่มขึ้นปีละ 18% แม้รายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2561 จะมาจากจีนถึง 29% มากกว่ายุโรปที่ 25% แต่รายได้จากนักท่องเที่ยวต่อคนจากยุโรปสูงกว่าจากจีนถึง 35% (74,148 บาทต่อคน เทียบกับ 55,116 บาทต่อคน)  ยิ่งกว่านั้นนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่ในช่วงก่อนหน้านี้ยังเป็นพวก "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ซึ่งรายได้ตามตัวเลขที่แสดงนั้น แทบจะไม่กระเด็นถึงไทย เพราะเขามีไกด์จีน รถทัวร์จีน โรงแรมจีน ภัตตาคารจีน แหล่งจับจ่ายของจีน ใช้บริการพวกเดียวกันเอง ฯลฯ

          ยิ่งกว่านั้น หลายท่านยังคงจำได้ว่าคณะนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 โดยเรือ “ฟีนิกซ์ พีซีไดวิ่ง” อับปางในทะเลอันดามัน จ.ภูเก็ต ระหว่างเกาะเฮกับชายฝั่ง ทั้งนี้ตัวเลขผู้โดยสารเรือมรณะมี 89 ราย เสียชีวิต 47 ศพ รอดตาย 42 คน (https://bit.ly/2DNg97J) จากเหตุการณ์นี้ปรากฏว่าจีนไม่พอใจมาก และนักท่องเที่ยวจีนก็ลดลงต่อเนื่องแต่นั้นมา พวกเขาหันไปท่องเที่ยวยังประเทศอื่นแทน

 

          จากตัวเลขข้างต้นปรากฏว่านักท่องเที่ยวลดลงไปชัดเจนคือ -12% -15% และ -20% ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2561 แต่ในความเป็นจริง ผู้ประกอบการในพื้นที่พัทยาและเมืองท่องเที่ยวอื่นซึ่งปกติมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ต่างโอดโอยว่าจำนวนคนเข้าพักในโรงแรมลดต่ำลงเกินกว่าครึ่งต่อครึ่งกันทั้งนั้น  จากสถิติ 3 เดือน (สิงหาคม-ตุลาคม) จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง -12%-15% -20% หรือลดลงกว่าปีที่แล้ว 388,559 คน หากอนุมานเดือนพฤศจิกายน ณ อัตราเดียวกันก็เท่ากับนักท่องเที่ยวจีนหายไป 518,079 คน ในช่วงเดือนสิงหาคม - พฤศจิกายน 2561 อันที่จริงจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะเพิ่มขึ้นเดือนละ 15% โดยเฉลี่ย มากกว่าจะลดลง ดังนั้นก็เท่ากับจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงดังกล่าว หายไปราว 1,028,044 คน

          เมื่อปี 2560 นักท่องเที่ยวจีนเข้ามา 9,846,818 คน สร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ 520,722.39 ล้านบาท (https://bit.ly/2PzdzZX) ถ้านักท่องเที่ยวในช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2561 หายไป 1,028,044 คน ก็เท่ากับทำเงินหล่นหายไปประมาณ 51,365 ล้านบาท เงินจำนวนนี้มีค่าสูงถึงประมาณ 2% ของงบประมาณแผ่นดินไทยที่ 3 ล้านล้านบาท

          อย่างไรก็ตาม อาจมีบางท่านบอกว่านักท่องเที่ยวจีนเข้ามาน้อยก็เพราะตอนนี้กำลังทำสงครามเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกาอยู่ คนจีนต้อง "รัดเข็มขัด" ไม่ค่อยไปเที่ยวไหนแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ความจริง จากสถิติของประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่นำเสนอสถิติได้ว่องไวกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน พบว่า นักท่องเที่ยวจีนไปเที่ยวประเทศเหล่านี้ไม่ขาดสาย ที่สำคัญเพิ่มขึ้นมหาศาลด้วยโดยเฉพาะฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ยิ่งประเทศเหล่านี้พัฒนาการท่องเที่ยวมาก ก็ยิ่งทำให้อสังหาริมทรัพย์ในต่างแดนเหล่านี้เติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

          นี่อาจเป็นบทเรียนของไทยเรา ที่อยู่ดีๆ เม็ดเงินก็หายไปถึงราว 51,365 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมผลพวงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากอาการขาดเงินของประชาชน จนทำให้เกิดอาชญากรรมเพิ่ม หรืออาจทำให้ถึงขั้นฆ่าตัวตาย บ้านแตกสาแหรกขาดอีกต่างหาก บ้านเรากำลังจะเติบโตตามคำของท่านรองนายกฯ ดร.สมคิด แต่พอเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ทำให้เกิดความเสียหายขึ้น

          การที่จำนวนนักท่องเที่ยวโตเพียง 8% ต่อปีในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (นับแต่ปี 2556-2561) ก็คงเป็นผลจากรัฐประหารและการไม่ระมัดระวังด้านคำพูดของผู้บริหารประเทศที่อาจเป็นผลลบต่อการท่องเที่ยวนั่นเอง

อ่าน 7,047 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved