"สมบัติผลัดกันชม" บริษัทพัฒนาที่ดินอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินไทย เปลี่ยนแปลงจากบางกอกแลนด์ มาเป็นแลนด์แอนด์เฮาส์ พฤกษา เรียลเอสเตท แล้วต่อไปจะเป็นใคร ทำไมจึงไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
ในสมัยก่อน บริษัทพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ที่สุดอาจเป็น "เสนานิเวศน์" เมื่อ 50 ปีก่อน ซึ่งวันนี้ลูกหลานก็ทำต่อในนาม "บมจ.เสนาดีเวลลอปเมนท์" แต่ต่อมาเบอร์หนึ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ บมจ.บางกอกแลนด์ ที่เปิดตัวโครงการสวนกระแสในยุคสงครามอ่าวเปอร์เซียในช่วงปี 2534 เป็นต้นมา โดยนำแนวคิดการพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ที่มีทุกอย่างครบถ้วน ในสมัยนั้นแทบจะ "ปูพรม" เปิดตัวโครงการขนานใหญ่อยู่แทบจะเป็นรายเดียว
ต่อมาเมื่อราว 30 ปีก่อน ก็ถึงยุค บมจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ ซึ่งเปลี่ยนแนวใหม่โดยพัฒนาหลายๆ ทำเล กระจายความเสี่ยง แสวงหาโอกาส เข้าหาผู้ซื้อบ้านในแทบทุกมุมเมือง แต่เน้นการพัฒนาที่ดินในลักษณะบ้านเดี่ยวราคาแพง โดยไม่จับสินค้าราคาถูก เช่น ทาวน์เฮาส์ หรืออาคารชุด (เคยทำเหมือนกันแต่หันหลังมาทำบ้านเดี่ยวทั้งหมด) และเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ก็ผงาดขึ้นมาเป็นมือหนึ่งแทน โดยอาศัยแนวคิดกระจายทั่วทุกทำเล แต่เพิ่มเติมโดยทำแทบทุกระดับราคา ไม่ใช่เน้นแต่ของแพงแต่อย่างใด ปรากฏว่า บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งอยู่นับสิบปี
ผมในฐานะประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้สำรวจโครงการที่อยู่อาศัยทั้งหมดมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2537 ถึงปัจจุบัน ได้พบบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่สุด10 บริษัทที่บางบริษัทยังเปิดตัวโครงการมากกว่าการเคหะแห่งชาติเสียอีก โครงการเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง
อันดับที่ 1 คือ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท พัฒนาโครงการ 654 แห่ง มี 230,122 หน่วย รวมมูลค่า 488,286 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 เช่นกัน โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.122 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาสินค้าทุกระดับราคาแต่โดยเฉลี่ยมีราคาค่อนข้างต่ำเพราะมีสินค้าราคาถูกเป็นจำนวนมาก สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 614 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 219,528 หน่วย รวมมูลค่า 461,849 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.104 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 40 โครงการ มี 10,594 หน่วย แต่ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเป็นอันดับที่ 4 รวมมูลค่า 26,437 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.495 ล้านบาท
อันดับที่ 2 คือ บมจ. แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ พัฒนาโครงการ 128 แห่ง มี 117,369 หน่วย รวมมูลค่า 172,222 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 1.467 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทที่มีราคาขายต่อหน่วยต่ำที่สุด สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 120 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 106,596 หน่วย รวมมูลค่า 158,719 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 1.489 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 8 โครงการ มี 10,773 หน่วย ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเป็นอันดับที่ 3 รวมมูลค่า 13,504 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 1.253 ล้านบาท ถือว่ามีราคาเฉลี่ยต่ำที่สุดในจังหวัดภูมิภาค
อันดับที่ 3 คือ บมจ. แสนสิริ พัฒนาโครงการ 286 แห่ง มี 87,631 หน่วย รวมมูลค่า 354,940 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.050 ล้านบาท สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 233 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 65,483 หน่วย รวมมูลค่า 298,281 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.555 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 53 โครงการ มี 22,148 หน่วย ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเป็นอันดับที่ 1 รวมมูลค่า 56,659 ล้านบาทท ถือว่ามีมูลค่าการพัฒนาในภูมิภาคอันดับที่ 1 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.558 ล้านบาท
อันดับที่ 4 คือ บมจ. ศุภาลัย พัฒนาโครงการ 228 แห่ง มี 84,607 หน่วย รวมมูลค่า 248,800 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.941 ล้านบาท สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 146 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 66,034 หน่วย รวมมูลค่า 198,032 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.999 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 82 โครงการ มี 18,573 หน่วย ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเป็นอันดับที่ 2 รวมมูลค่า 50,769 ล้านบาทท ถือว่ามีมูลค่าการพัฒนาในภูมิภาคอันดับที่ 2 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.733 ล้านบาท
อันดับที่ 5 คือ บมจ. เอ.พี. (ไทยแลนด์) พัฒนาโครงการ 229 แห่ง มี 72,188 หน่วย รวมมูลค่า 313,315 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.340 ล้านบาท ถือว่าเป็นบริษัทที่มีราคาขายต่อหน่วยสูงเป็นอันดับที่ 2 สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 227 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 71,327 หน่วย รวมมูลค่า 311,736 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.371 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 2 โครงการ มี 861 หน่วย รวมมูลค่า 1,579 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 1.834 ล้านบาท
อันดับที่ 6 คือ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ พัฒนาโครงการ 238 แห่ง มี 64,415 หน่วย รวมมูลค่า 307,501 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.774 ล้านบาท ถือว่าเป็นบริษัทที่มีราคาขายต่อหน่วยสูงสุด สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 200 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 56,658 หน่วย รวมมูลค่า 271,055 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.784 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 38 โครงการ มี 7,757 หน่วย รวมมูลค่า 36,446 ล้านบาทท ถือว่ามีมูลค่าการพัฒนาในภูมิภาคอันดับที่ 3 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.698 ล้านบาท ถือว่ามีราคาเฉลี่ยสูงสุดในภูมิภาค
อันดับที่ 7 คือ บมจ. ควอลิตี้ เฮ้าส์ พัฒนาโครงการ 179 แห่ง มี 46,649 หน่วย รวมมูลค่า 189,011 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.052 ล้านบาท สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 148 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 39,840 หน่วย รวมมูลค่า 170,001 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.267 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 31 โครงการ มี 6,809 หน่วย รวมมูลค่า 19,010 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.792 ล้านบาท
อันดับที่ 8 คือ บมจ. อนันดาดีเวลลอปเม้นท์ พัฒนาโครงการ 73 แห่ง มี 45,039 หน่วย รวมมูลค่า 190,034 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.219 ล้านบาท ถือว่าเป็นบริษัทที่มีราคาขายต่อหน่วยสูงเป็นอันดับที่ 3 สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 73 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 45,039 หน่วย รวมมูลค่า 190,034 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.219 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคไม่ได้ดำเนินการเลย
อันดับที่ 9 คือ บมจ. พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค พัฒนาโครงการ 127 แห่ง มี 41,935 หน่วย รวมมูลค่า 151,145 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.604 ล้านบาท สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 126 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 41,729 หน่วย รวมมูลค่า 150,076 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.596 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 1 โครงการ มี 206 หน่วย รวมมูลค่า 1,069 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 5.190 ล้านบาท
อันดับที่ 10 คือ บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาโครงการ 48 แห่ง มี 20,580 หน่วย รวมมูลค่า 67,832 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.296 ล้านบาท สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 45 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 18,526 หน่วย รวมมูลค่า 62,700 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.384 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 3 โครงการ มี 2,054 หน่วย รวมมูลค่า 5,132 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.499 ล้านบาท
จะสังเกตได้ว่า บมจ.อนันดาดีเวลลอปเม้นท์ และ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (อันดับที่ 8 และ 10) เป็นบริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 นับเป็นบริษัท "ดาวรุ่ง" ที่เติบโตเร็วที่สุด อีกประการหนึ่ง บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระยะเวลาเกือบ 30 ปี ได้มากกว่าการเคหะแห่งชาติที่ตั้งมา 46 ปีเสียอีก นอกจากนี้บริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ยังไม่ต้องรับเงินอุดหนุนจากทางราชการ และยังสร้างงาน สร้างรายได้ (ภาษี) เข้าหลวงอีกต่างหาก
ถึงแม้ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท จะเป็นอันดับหนึ่ง แต่หากนำ บมจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ และ บมจ.ควอลิตี้เฮาส์ ซึ่งเป็นเครือเดียวกัน มูลค่าการพัฒนาก็ยังมากกว่า บมจ.พฤกษ เรียลเอสเตท เสียอีก ยิ่งหากนำ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นของตระกูล "อัศวโภคิน" เช่นกัน ก็จะเห็นได้ว่าตระกูลนี้ยังครองตลาดในมูลค่าสูงสุด อย่างไรก็ตามโอกาสที่มีบริษัทอื่นมาครองบัลลังก์อันดับหนึ่งก็ยังมีเช่นกันในอนาคตขึ้นอยู่กับว่าบริษัทอื่นมียุทธศาสตร์อย่างไร บริษัทแชมป์ดำเนินกิจการผิดพลาดหรือไม่นั่นเอง