ในโลกนี้มีเพียงศาสดาที่จะเก่งกว่าศิษย์มานับพันๆ ปี ไม่มีใครจะเก่งกว่าศาสดาได้ แต่ในอนาคตก็อาจมีศาสดาที่เก่งกว่า แต่ถ้าเป็นอาจารย์ ศิษย์ย่อมต้องเก่งกว่าอาจารย์ โลกถึงจะเจริญ
คนที่จะเก่งจนคนอื่นทัดเทียมได้ยาก ก็คงมีแต่ศาสดาในโลกนี้เท่านั้น เพราะถ้าเก่งกว่าก็คงไปตั้งศาสนาใหม่และมีคนนับถือกันมากมายมหาศาล แต่แน่นอนว่าโลกเมื่อพัฒนาการต่อไปนับพันนับหมื่นปี ก็คงมีศาสดาใหม่ๆ เกิดขึ้นมา แต่สำหรับอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หมอนวด อาจารย์สอนตัดเย็บเสื้อผ้า อาจารย์มวย ศาสตราจารย์ในสาขาวิชาต่างๆ นั้น ศิษย์ต้องเก่งกว่าอาจารย์ หาไม่โลกเราก็คงไม่ได้เจริญทั้งทางวัตถุและจิตใจ
ในหนังกำลังภายใน หรือในคติจีน ซึ่งเขามักยึดถือความรู้ตามตำรา และตำราในสมัยก็ไม่ได้พิมพ์เผยแพร่กันอย่างกว้างขวาง ก็ย่อมที่จะมีการเก็บงำวิชาความรู้ต่างๆ ไว้กับตน อาม่า (คุณยาย) เล่าว่าในสมัยก่อนครูมวยจะต้องเก็บงำ "สุดยอดวิชา" ไว้กับตัว ถ้าถ่ายทอดไปหมด ก็อาจเจอ "ศิษย์คิดล้างครู" หรือจะถูกศิษย์ตีจาก เพราะเรียนรู้หมดแล้ว อาจารย์จึงมักจะถ่ายทอดให้เฉพาะศิษย์รักโดยเฉพาะลูกๆ ที่จะให้สืบต่อสำนักเป็นสำคัญ
แต่ในโลกยุคใหม่นั้น ความรู้ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง และยิ่งต่อยอดมากยิ่งขึ้น การประมวลผลความรู้ก็กว้างขวางอย่างเหลือจะประมาณ ผมจำได้ว่าเมื่อปี 2526 หรือ 36 ปีก่อน ผมเรียนปริญญาโทอยู่ที่ Asian Institute of Technology หรือ AIT ที่นั่นมีเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรม และในอีก 2 ปีต่อมาก็เริ่มมีไมโครคอมพิวเตอร์หรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ สมัยนั้น ผมซื้อมาในราคา 50,000 บาท ได้พื้นที่เก็บข้อมูลหรือ Hard Disk แค่ 20 เมกะไบต์ แต่เดี๋ยวนี้ได้ถึง 2 เทระไบต์ หรือเพิ่มขึ้น 1 แสนเท่าในราคาประมาณ 24,000 บาทเท่านั้น หรือถูกกว่ากันครึ่งหนึ่ง
ทุกวันนี้พวกโค้ช อาจารย์เกลื่อนเมือง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย นี่ยังไม่นับรวมพวกอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกับการศาสนาอีกมากมาย ผมเองก็เป็นอาจารย์เพราะสอนมาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก สอนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ตลอดจนสถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศ เคยไปบรรยายทั้งสถาบันพระปกเกล้า ป.ป.ช. สถาบันการศึกษาของทหาร-ตำรวจ และอื่นๆ แต่ผมไม่เคยเรียกตัวเองว่าอาจารย์ หรือ "ตู่" เอาคนนั้นคนนี้เป็นศิษย์ ผมเห็นว่าเราควรเห็นคนที่เราสอน เสมอหน้ากับเรา ไม่เอาความเป็นเอาจารย์ไปแสวงหาผลประโยชน์
ผมเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่า ศิษย์ต้องเก่งกว่าอาจารย์ และไม่ใช่เรื่องน่าละอายของอาจารย์ที่ศิษย์จะเก่งกว่าอาจารย์ มีแต่การนี้จึงจะทำให้โลกเจริญก้าวหน้าขึ้น ศิลปวิทยาการจึงจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ถ้าอาจารย์เก่งกว่า รอบรู้กว่าศิษย์ ก็คงมีแต่ศาสดาเท่านั้น แต่ต่อเมื่อเวลาผ่านไป คำสอนของศาสดาหนึ่งพ้นสมัยไป ก็จะมีศาสดาใหม่มาเกิด แต่นั่นก็คงกินเวลานับพันๆ ปีเลยทีเดียว
ผมสอนวิชาการประเมินค่าทรัพย์สิน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การวางแผนพัฒนาเมือง Soft Law และความรับผิดชอบต่อสังคมของวิสาหกิจ โดยเฉพาะวิชาการประเมินค่าทรัพย์สินที่ผมสอนมาตั้งแต่ พ.ศ.2532 "ศิษย์" ของผมหลายคนย่อมต้องเก่งกว่าผมเพราะเขาออกไปประเมินแทบทุกวัน เขาย่อมสามารถกุมสภาพ หรือรู้มูลค่าตลาดได้ดีกว่าผม เขาอาจใช้วิธีการประเมินค่าทรัพย์สินที่ผมสอนบ่อยๆ จนชำนาญ-ช่ำชอง และพัฒนาทักษะในการทำงานโอกาสที่เขาจะประเมินผิด ก็ลดน้อยลง ทั้งนี้บางคนประเมินโรงแรมบ่อย ๆ เมื่อเห็นโรงแรมแห่งหนึ่งโดยแทบไม่ต้องตรวจสอบอะไรมาก ก็พอทราบว่าโรงแรมนั้นควรมีราคาเท่าไหร่ เพราะเขาไปประเมินมาแล้วหลายต่อหลายโรงแรมในลักษณะนี้ เป็นต้น
แต่ในทุกวันนี้อาจารย์หลายคนสอนจนตั้งตัวได้ ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง ส่วนผู้มอบตนเป็นศิษย์เป็นเหมือนบ่าวไพร่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร อาจารย์ที่แท้เป็นดั่งเรือจ้าง เราสอนได้ระดับหนึ่ง แล้วศิษย์ไปศึกษาเพิ่มเติมจนเชี่ยวชาญก็สามารถที่จะก้าวล้ำอาจารย์ได้ สิ่งที่เรายังให้ศิษย์ได้เสมอก็คือปัญญา ข้มูลและการทบทวนหลักความรู้ที่ถูกต้อง เราต้องสร้างศิษย์ให้เก่งกว่าอาจารย์จึงจะถูก โลกจึงจะเจริญ อาจารย์ก็ต้องหมั่นเรียนรู้จากศิษย์ เพราะยิ่งไม่เรียนรู้ ก็ยิ่งรู้น้อยลงไปเรื่อยๆ
อย่าให้อาจารย์ฉ้อฉลขี่คอเรา