ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์ไทยหอมกรุ่นจริงหรือไม่ มีคนอยากมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยกันมากจริงหรือ แล้วจะส่งผลต่ออนาคตประเทศไทยอย่างไรบ้าง
สมัยที่นายกฯ ทักษิณพาแขกตะวันออกกลางมาเช่าที่ทำการเกษตร มีคนปากบอนบอกเป็นการขายชาติ ตอนนี้พวกนี้ไปลงทุนทำการเกษตรเป็นล่ำเป็นสันอยู่กัมพูชา ลาว พม่า ทำให้อินโดจีนเจริญขึ้นมาก แต่ขณะเดียวกันตอนนี้เรากำลัง "ขายชาติ" กันขนานใหญ่ มีคนมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยมากมาย จนถือได้ว่าอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังหอมกรุ่นเตะจมูกของนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างยิ่ง
ความหอมกรุ่นนี้เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ อย่างช่วงปีกึ่งพุทธกาล (พ.ศ.2500) อเมริกันก็มาลงทุนมากมายโดยเฉพาะย่านรังสิต เพื่อเป็นการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น สิ่งทอเพื่อทดแทนการนำเข้า และเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการทำสงครามเศรษฐกิจกับคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้นซึ่งรุกหนักในอินโดจีน พอมาถึงช่วงครบ 200 ปีกรุงเทพมหานคร (พ.ศ.2525) ทัพนักลงทุนใหญ่น้อยของญี่ปุ่นมาแห่กันมาลงทุนกันยกใหญ่
อย่างเมืองท่องเที่ยวเช่น เมืองพัทยา เริ่มแรกเมื่อ 30 ปีก่อน ก็เป็นพวกซาอุฯ มากันมาก แต่ต่อเมื่อคนไทยไปขโมย "เพชรซาอุฯ" และไปฆ่าผู้ช่วยทูตเขา พวกซาอุสน เลยหายไป ต่อมาก็ยกขบวนมาโดยพวกยุโรปตะวันตก พวกสแกนดิเนเวีย รัสเซีย จนถึงจีนในยุคปัจจุบัน พอนักท่องเที่ยวจีน "ประท้วง" ไม่มาเที่ยวไทยเพราะรัฐมนตรีไทยพูดไม่เหมาะสมกรณีเรือล่มที่เกาะเฮ ภูเก็ต ก็ทำให้เมืองพัทยาเหงาหงอยไปเกือบครึ่งปีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามทุกวันนี้นับว่าจีนเป็นนักลงทุนใหญ่อันดับหนึ่งก็ว่าได้ เมื่อปี 2559 คนจีนสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นอันดับที่ 5-6 ของโลก ปี 2560 ไทยขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 และมาในปี 2561 ไทยขยับมาเป็นที่ 1 ทำไมเป็นอย่างนี้ ในด้านหนึ่งก็เพราะประเทศยอดฮิตของจีน เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ก็ค่อนข้างกีดกันและมีสงครามการค้ากับสหรัฐ มีหลายประเทศมีข้อห้ามในการซื้อกีดกันนักลงทุนจีน เช่น
1. ออสเตรเลีย ห้ามต่างชาติซื้อบ้านมือสอง เพราะจะทำให้ราคาขึ้น ประชาชนในท้องถิ่นเดือดร้อนได้
2. นิวซีแลนด์ ห้ามต่างชาติซื้อบ้านเลย ยกเว้นเฉพาะบางชาติที่ยังซื้อได้ เช่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย เป็นต้น
3. มาเลเซีย กีดกันโดยให้ซื้อเฉพาะบ้านที่มีราคาอย่างน้อย 0.5 - 2 ล้านริงกิต (4-16 ล้านบาท) บ้านราคาต่ำๆ ห้ามซื้อเด็ดขาด โดยเฉพาะในกัวลาลัมเปอร์ และเขตเศรษฐกิจพิเศษ ราคาเบื้องต้น ต้องไม่น้อยกว่า 2 ล้านริงกิต
4. สิงคโปร์ ห้ามซื้อบ้านที่การเคหะแห่งชาติสิงคโปร์สร้างขึ้น บ้านในสิงคโปร์ 85% สร้างโดยการเคหะแห่งชาติ ดังนั้นแทบทั่วเกาะห้ามต่างชาติซื้อ ยกเว้นที่เอกชนพัฒนา แต่ต้องเสียภาษี 20-25% จากการซื้อ
5. ฮ่องกง ก็คล้ายสิงคโปร์ แต่กำหนดอัตราภาษีให้ต่างชาติเสีย คือ 30% เลยทีเดียว
6. ไต้หวัน ก็กำหนดให้ต่างชาติโดยเฉพาะจีน ให้ซื้อแล้ว ห้ามขายต่อภายใน 3 ปี และต่างชาติจะอยู่ในไต้หวันได้ไม่เกิน 4 เดือน และให้กู้เงินธนาคารท้องถิ่นมาซื้อบ้านได้ไม่เกิน 50%
จากข้อจำกัดข้างต้น จึงทำให้คนจีนหรือหลายๆ ชาติแห่มาซื้อบ้านในไทยเพราะ
1. ไม่มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ ซื้อได้ทุกระดับราคา
2. สามารถซื้อห้องชุดได้ 49% ของสิทธิในอาคารชุดนั้น
3. ถ้าโอนเงินเข้ามาลงทุน 40 ล้าน ก็ซื้อที่ดิน 1 ไร่อยู่อาศัยได้เลย
4. ในนิคมอุตสาหกรรม ก็สามารถซื้อที่ดินได้เลย
5. เช่าที่ดินได้ 30 ปี จนถึง 50 ปี ได้ในกรณีการเช่าเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม
6. ในกรณีเขตเศรษฐกิจพิเศษภูมิภาคตะวันออก ปรากฏว่าต่างชาติสามารถซื้อห้องชุดได้ 100% ซื้อที่ดิน หรือเช่าที่ 99 ปีก็ได้
จากการประเมินของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตทแอฟแฟร์ส (www.area.co.th) พบว่าต่างชาติมาซื้อที่อยู่อาศัยในไทยถึง 20% อุปทานที่ผลิตในแต่ละปี นี่ถ้าไม่มีต่างชาติซื้อ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยคงหดตัวลงมากเลย แถมยังมีนักเก็งกำไรอีกราว 15% ที่มาช่วยนักพัฒนาที่ดินซื้อหน่วยขายในโครงการต่างๆ ถ้าหมดคนเหล่านี้ตลาดที่อยู่อาศัยไทยคง "ดิ่งเหว"! บางโครงการมีต่างชาติซื้อถึง 40% และภายใต้แรงขับของจีนที่แผ่มาสู่ภูมิภาคนี้ ต่อไปไทยคงเป็นมณฑลหนึ่งของจีน!?!
การที่ต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์มากมายปานนี้ย่อมทำให้ ราคาบ้านแพงขึ้น ทำให้โอกาสการซื้อบ้านของคนท้องถิ่นเองหดหายลง ความสามารถในการซื้อบ้านลดน้อยถอยลง นอกจากนี้ยังทำให้ต่างชาติมาครอบครองอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เข้าทำนอง "ขายชาติ" ได้ เพราะในประเทศไทยเรา อาจเจอภัยก่อการร้ายที่มาซ่องสุมได้อีกต่างหาก ระบบตรวจสอบของไทยเราก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเสียด้วย เราเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มาสวมบัตรประชาชน มาครอบงำเศรษฐกิจ มาก่อการร้าย เราก็อาจทำได้แค่ "วัวหายล้อมคอก" ป้องกันไม่ได้ล่วงหน้านั่นเอง
ไทยจะประสบเภทภัยหรือวาสนา ต้องมาดูกัน