AREA แถลง ฉบับที่ 15/2555: 6 กุมภาพันธ์ 2555
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดีต่อวงการอสังหาริมทรัพย์
ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ช่วยเพิ่มอุปทานที่ดินให้กับการพัฒนาที่ดินเพื่อให้ผู้ซื้อบ้านและนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์สามารถหาซื้อทรัพย์สินในราคาที่ไม่แพง และช่วยป้องกันไม่ให้เมืองบุกรุกสู่เขตชนบท
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้พาคณะเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนไปดูงานด้านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ หลายประเทศ พบว่าภาษีนี้มีคุณต่อทุกฝ่าย ไม่มีฝ่ายใดเสียประโยชน์มีแต่ได้ รัฐบาลควรรีบประกาศใช้โดยเร็ว
ตามร่างกฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของรัฐบาลกำหนดให้มีอัตราการจัดเก็บคือ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยไม่ประกอบการในเชิงพาณิชย์ จัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.1% ของฐานภาษี อัตราภาษีสำหรับอสังหาริมทรัพย์เกษตรกรรม จัดเก็บไม่เกิน 0.05% นอกนั้นจัดเก็บไม่เกิน 0.5% อย่างไรก็ตามยังมีการยกเว้นแก่ที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 50 ตารางวาทั้งหลายและมีมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาทในพื้นที่หรืออาจมากน้อยกว่านี้ตามแต่ละพื้นที่ ยิ่งกว่านั้นหากทรัพย์สินเกิดความเสียหายยังมีข้อยกเว้นด้วย เป็นต้น ส่วนทรัพย์สินที่ได้รับการยกเว้นภาษี ได้แก่ พระราชวัง ทรัพย์สินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือสาธารณะ ทรัพย์สินที่เป็นศาสนสมบัติ นอกจากนี้ยังจะมีการออกพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีให้กับผู้มีรายได้น้อย เกษตรกรรายย่อยที่ทรัพย์สินมีมูลค่าต่ำกว่าที่กำหนด
ภาษีนี้ ภาษีนี้มีภาระต่ำมาก ยกตัวอย่างเช่น คน ๆ หนึ่งมีบ้านราคา 1 ล้านบาท เสียภาษี 0.1% หรือปีละเพียง 1,000 บาท หรือเดือนละ 83 บาท ซึ่งยังถูกกว่าค่าเก็บขยะและดูแลชุมชนเสียอีก ในประเทศยุโรปและอเมริกา เขาจัดเก็บภาษีกันในอัตรา 1-2% ของมูลค่าทรัพย์สิน ทำให้มีเงินไปพัฒนาท้องถิ่นได้มากมาย เขาจึงมีสาธารณูปโภคที่ดีกว่าไทย
ภาษีนี้เก็บมาเพื่อใช้พัฒนาท้องถิ่นโดยตรง โดยอาจนำมาใช้พัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการ การศึกษาให้ทันความต้องการของท้องถิ่น และเมื่อท้องถิ่นได้รับการพัฒนา มูลค่าทรัพย์สินของเราก็จะยิ่งเพิ่มพูน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ยิ่งเก็บภาษีได้มากเท่าไหร่ ท้องถิ่นนั้น ๆ ยิ่งเจริญ ท้องถิ่นนำไปปรับปรุงถนน ทำให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น พอท้องถิ่นนั้นเจริญ มูลค่าทรัพย์สินก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เจ้าของที่ดินก็ได้ประโยชน์ เข้าทำนอง “ยิ่งให้ ยิ่งได้” และโดยนัยนี้ เราจึงไม่ควรมีข้อยกเว้นการเก็บภาษีนี้แก่ใครทั้งสิ้น
มีความเข้าใจผิดบางประการว่า ในพื้นที่เทศบาลบางแห่งที่เป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญเช่นมาบตาพุด การจัดเก็บภาษีจะลดลง ซึ่งจากการสอบถามของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง กลับพบว่าไม่ลดลงแต่อย่างใด
แม้รัฐบาลมีข้อยกเว้น แต่ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เห็นว่าไม่จำเป็น ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมพัฒนาชาติด้วยการเสียภาษี เพราะภาระภาษีต่ำกว่าความภาคภูมิใจที่จะได้รับมาก เช่น บางคนอาจมีห้องชุดราคาเพียง 300,000 บาท ต้องเสียภาษี 0.1% หรือปีละ 300 บาท (เดือนละ 25 บาท) เงินเพียงเท่านี้ควรจะเสียเพื่อตัวเองและประเทศชาติ บางท่านไปทำบุญ แทงหวยหรือซื้อล็อตเตอรี่ยังมากกว่านี้
ผู้ที่มีทรัพย์สิน 300,000 บาท แม้จะน้อยเมื่อเทียบกับคนมีบ้านหลังใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ถือเป็นผู้มีรายได้น้อย และที่สำคัญชาวบ้านอาจทำบุญ ทำสังฆทาน (อาจเพราะเมื่อคืนฝันไม่ดี) เป็นเงินครั้งละมากกว่า 300 เสียอีก บางคนยังอาจเสียไปกับอบายมุขต่าง ๆ มากกว่านี้นัก ดังนั้นการเสียภาษีเพื่อประโยชน์สุขของตนเองโดยตรง จึงไม่พึงเป็นปัญหา และควรรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันมีสำนึกเสียภาษี
ยิ่งถ้าเป็นชาวนาที่มีที่ดินขนาดเล็กเพียง 15 ไร่ อยู่ในที่ทุรกันดารที่มีราคาไร่ละ 10,000 บาท ชาวนาดังกล่าวก็มีทรัพย์สินเป็นเงิน 150,000 บาท หากเขาต้องเสียภาษี ณ อัตรา 0.05% เขาจะเสียเป็นเงินเพียง 75 บาทต่อปีเท่านั้น ภาระภาษีเช่นนี้จึงไม่น่าจะมีปัญหากับชาวนาเลย และอย่างน้อยชาวนาท่านนี้ก็ยังมีทรัพย์สิน ไม่ใช่ชาวนาเช่านาแต่อย่างใด เงิน 75 บาทที่เสียไปเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ควรสร้างความภูมิใจแก่ชาวนาท่านนั้นต่างหาก
การจัดเก็บภาษีเช่นนี้ จะทำให้เจ้าของที่ดินในเมืองต้องคายที่ดินออกมาพัฒนาหาประโยชน์ ทำให้อุปทานที่ดินมีมากขึ้น การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และเมืองจะไม่ไปบุกรุกที่ดินในชนบทเช่นทุกวันนี้ ทำให้สาธารณูปโภคไม่ต้องขยายตามออกไป ซึ่งเป็นปัญหาด้านการลงทุนที่เกินตัว และหากทุกฝ่ายเสียภาษีนี้ ก็จะทำให้มีทรัพยากรไปพัฒนาท้องถิ่น จึงถือว่าภาษีนี้ เป็นภาษีที่ “ยิ่งให้ (ผู้เสียภาษี) ยิ่งได้”
ในต่างประเทศ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสูงถึง 1-3% ของมูลค่าบ้าน ซึ่งมักเป็นมูลค่าที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดและดำเนินการประเมินค่าทรัพย์สินไว้ทุกปี ภาษีที่ได้นำมาพัฒนาท้องถิ่น แต่บางท่านเกรงว่าในกรณีประทศไทย ท้องถิ่นอาจจะโกงกิน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันท้องถิ่นได้เงินจากรัฐบาลกลาง 90% จึงไม่รู้สึกเป็นเจ้าของ จึงมักมีการโกงกินกันทั่วไป แต่ถ้ารายได้หลักมาจากการจัดเก็บในท้องถิ่น แรก ๆ นักการเมืองท้องถิ่นก็ยังอาจจะโกง แต่ประชาชนในท้องถิ่นก็จะเริ่มตรวจสอบมากขึ้นเพราะภาษีเป็นภาษีจากตนเองโดยตรง การโกงก็จะลดลง ระบอบประชาธิปไตยก็จะเข้มแข็ง รัฐบาลจึงควรให้ประชาชนได้เรียนรู้
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน |