ไม้ในป่า ตีค่าอย่างไร
  AREA แถลง ฉบับที่ 218/2562: วันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2562

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            ตอนที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ ก็มีบางคนพยายามมองว่าป่าไม้ที่แม้ไม่มีคนปลูกก็มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ควรตีราคา เพราะเมื่อสร้างเขื่อน ต้นไม้เหล่านี้ก็จะสูญเสียไปด้วย  ความสูญเสียเหล่านี้ตีเป็นเงินประมาณเท่าไหร่  และเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่จะได้ มันคุ้มค่ากันหรือไม่  เราจะมีวิธีการประเมินค่าไม้ในป่าอย่างไร จึงจะสอดคล้องกับความเป็นจริง ในกรณีนี้ เรามาศึกษาจากกรณีเขื่อนแม่วงก์กัน

                ในรายงานหลักของรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในโครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ โครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ที่จัดทำโดย บจก.ครีเอทีฟ เทคโนโลยี ที่เสนอต่อกรมชลประทาน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 ระบุถึงแนวทางการประเมินค่าต้นไม้ไว้ชัดเจน ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจยิ่ง

                ในการประเมินค่า ผู้ประเมินได้ทำการสุ่มแปลงตัวอย่าง 135 แปลง รวมพื้นที่ 1,113 ไร่ จากทั้งหมด 12,300 ไร่ ถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างประมาณ 7.58% ไม่ได้นับทั้งหมดของพื้นที่ก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ โดยได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 8 บริเวณก็คือพื้นที่หัวงาน พื้นที่ในอ่างเก็บน้ำ พื้นที่นอกอ่างเก็บน้ำ พื้นที่ท่อส่งน้ำ พื้นที่คลองส่งน้ำ พื้นที่คลองระบาย พื้นที่บ่อยืมดิน และพื้นที่ชลประทาน

            สำหรับการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจป่าไม้ ใช้วิธีการประเมิน 2 วิธีคือ วิธีแรกเป็นการประเมินในกรณีการตัดไม้ออกจากพื้นที่โครงการทั้งหมด เพราะต้องนำพื้นที่ไปสร้างเขื่อน และวิธีที่ 2 เป็นการประเมินในกรณีที่ตัดไม้ออกเฉพาะส่วนที่เพิ่มพูนรายปีของไม้ในพื้นที่โครงการ  นอกจากนี้ยังคำนวณมูลค่าไม้สุทธิของปีต่างๆ โดยกำหนดให้ราคาไม้คงที่ (เท่ากับราคาปัจจุบัน และเงินเฟ้อร้อยละ 12 (ซึ่งอาจสูงเกินจริง-ผู้เขียน) โดยคิดเป็นมูลค่าอีก 50 ปีข้างหน้า

                นอกจากการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 8 บริเวณแล้ว ในแต่ละบริเวณ ผู้ประเมินยังได้แบ่งกลุ่มสภาพนิเวศในพื้นที่ออกเป็น พื้นที่ป่าธรรมชาติ     พื้นที่พืชยืนต้น พื้นที่เกษตร พื้นที่รกร้าง พื้นที่ชุมชนและอยู่อาศัย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ พื้นที่ปศุสัตว์และพื้นที่เลี้ยงสัตว์ พื้นที่แหล่งน้ำ และพื้นที่เกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสม รวม 9 ประเภทพื้นที่  และจากผลการสุ่มสำรวจแยกเป็น 8 บริเวณ และ 9 ประเภทการใช้ที่ดิน จึงได้ออกมาเป็นการประมาณปริมาณไม้แต่ละกลุ่ม เพื่อที่จะใช้เป็นฐานข้อมูลในการประเมินมูลค่าไม้ในที่สุด

                ประเด็นสำคัญในการพิจารณาก็คือเรื่องความหนาแน่นของพรรณพืช (Plant density) ซึ่งหมายถึงจำนวนของพรรณไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งต่อหน่วยพื้นที่แห่งหนึ่งหรือต่อปริมาตร  ในการศึกษาจะพิจารณาจำนวนต้นไม้ของพืชชนิดนั้นๆ ต่อหน่วยเนื้อที่หรือต่อแปลงควอเแครท โดยการนับพรรณไม้ในแปลงตัวอย่าง ทั้งนี้ยังมีการแบ่งต้นไม้เป็น "ไม้ใหญ่" ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ความสูงเพียงอก (1.3 เมตร) ตั้งแต่ 10 เซนติเมตรขึ้นไป และ "กล้าไม้" คือต้นไม้ที่มีความสูงไม่เกิน 1.3 เมตร

                นอกจากนี้ยังมีการวัดดรรชนีความหลากหลายของชนิดภายในสังคมต้นไม้ สามารถกระทำโดยใช้ดรรชนีความผกผัน (Species diversity index ต่างๆ)  ในที่นี้หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนต้นไม้กับจำนวนชนิดพรรณไม้  และดรรชนีความหลายหลายของชนิดในรูปของ Fisher's index of diversity สำหรับไม้ใหญ่คือต้นไม้ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ความสูงเพียงอกตั้งแต่ 10 เซนติเมตรขึ้นไปเป็นสำคัญ  อย่างไรก็ตามการวัดนี้คงต้องอาศัยนักวิชาการป่าไม้ หรือผู้เชี่ยวชาญอื่นในการสนับสนุนการวัด

                ยิ่งกว่านั้นในการศึกษาไม้ในป่ายังต้องศึกษาการแบ่งชั้นความสูงตามแนวดิ่ง (Vertical stratification) อีกด้วย โดยเป็นการศึกษาโครงสร้างของสังคมพืช (Plant community structure)  โครงสร้างตามแนวดิ่งนี้มีความสัมพันธ์กับการลดลงของปริมาณแสงสว่างโดยเฉพาะพืชบก  ต้นไม้ที่อยู่ในชั้นความสูงที่ต่ำลงมา ก็มักจะมีมูลค่าที่น้อยกว่า เพราะโอกาสการเติบโตก็จะน้อยลงตามไปด้วย  ทั้งนี้ในที่นี้ยังเกี่ยวข้องกับสภาพการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติของต้นไม้ในป่าที่จะประเมินด้วยโดยพิจารณาถึงความหนาแน่นของลูกไม้ หรือต้นไม้ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ความสูงเพียงอกต่ำกว่า 10 เซนติเมตร และกล้าไม้ (ที่มีความสูงไม่เกิน 1.3 เมตร) นั่นเอง

                สำหรับการคำนวณปริมาณไม้เพื่อการประเมินค่าแยกออกเป็น

                1. ไม้ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ระดับเพียงอก มากกว่า 30 เซนติเมตร เหมาะสำหรับเป็นไม้ซุง

                2. ไม้ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ระดับเพียงอก มากกว่า 10-30 เซนติเมตร เหมาะสำหรับเป็นเสาเข็ม

                3. ไม้ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ระดับเพียงอก มากกว่า 30 เซนติเมตร เหมาะสำหรับเป็นฟืนไม้

                ในรายงานได้สรุปมูลค่าของต้นไม้ที่ประเมินค่าไว้คือ ประการแรกมูลค่าทางเศรษฐกิจของไม้ที่ตัดไม้ออกทั้งหมดในเขตพื้นที่โครงการ ที่มีปริมาตร 311.583.21 ลบ.เมตร สามารถคำนวณมูลค่าได้โดยคูณด้วยราคาไม้สุทธิ ณ เวลานั้น เป็นเงิน 998.57 ล้านบาท สำหรับกรณีไม้ไผ่ เป็นเงินอีก 11.64 ล้านบาท  ประการที่ 2 ในกรณีตัดไม้ออกเฉพาะส่วนที่เพิ่มพูนรายปี คิดเป็นมูลค่า 18.9 ล้านบาท และไผ่อีก 232,867 บาท และประการที่ 3 มูลค่าของลูกไม้และกล้าไม้ รวมเป็นเงิน 63 ล้านบาท โดยสรุปแล้วผลการศึกษาทั้งหมดพบว่า มูลค่าของการสูญเสียต้นไม้ในพื้นที่คือเป็นเงิน 1,073.4 ล้านบาท

                ผลการศึกษาโดยรวมยังชี้ว่า นอกจากมูลค่าต้นไม้จำนวน 677,922 ต้น มูลค่า 1,073 ล้านบาทแล้ว ยังมีความสูญเสียที่เกี่ยวข้องอื่น เช่น กระทบต่อที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ มว.4 (แม่เรวา) และหน่วยรักษาต้นน้ำขุนน้ำเย็น ปริมาณธาตุอาหารพืช 11.71 ล้านบาท/ปี และการชดเชยที่ดินและทรัพย์สิน เช่น ระบบคลองส่งน้ำและคลองระบายน้ำในพื้นที่ชลประทานรวม 15,742 ไร่ โดยมีผู้ถือครองที่ดินคิดเป็นมูลค่าชดเชยรวมทั้งสิ้น 801.08 ล้านบาท เป็นต้น  แต่เมื่อเทียบกับข้อดี ก็คงคุ้มค่าที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ (https://bit.ly/1pesC9z)

                อย่างไรก็ตามกรณีไม้ในป่าจึงต้องประเมินโดยวิธีการข้างต้น ซึ่งการประเมินค่าทรัพย์สินนั้นในแง่หนึ่งเป็นระบบสหศาสตร์ (Interdisciplinary Approach) ใช่ว่าจะสามารถสำรวจและประเมินโดยผู้ประเมินผู้เดียวเองตามลำพัง ยกเว้นผู้ประเมินทีมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ  แต่ควรดำเนินการโดยผู้มีความรู้ในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้องด้วย

 

 

อ่าน 1,927 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved