ทำไมญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศที่มีคุณภาพสูงกว่าไทยมาก ประเด็นสำคัญก็คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่แตกต่างกันอย่างกับฟ้ากับเหวระหว่างไทยกับญี่ปุ่น มาลองดูกันจะได้รู้ว่า ขืนไทยยังเป็นอย่างนี้ อีกร้อยปีก็สู้ญี่ปุ่นไม่ได้ ดีไม่ดีเด็กพม่า เขมร ลาว เวียดนามอาจแซงไทยไปเสียอีก
ผมไปญี่ปุ่นมาเมื่อไม่กี่วันมานี้ เห็นการ์ตูนโป๊ขายกันเกลื่อนในร้านเซเว่น ผมเลยถ่ายคลิปมาให้ดูตลกๆ (https://bit.ly/2Qeg3tO) แต่มีความเห็นจากคุณ Jun Iwata ว่า “แผงหนังสือแบบนี้เด็กๆญี่ปุ่นไม่ดูกันค่ะ จะมีแต่พวกทำงาน ส่วนใหญ่เด็กมัธยมจะมีกิจกรรมที่โรงเรียน พอเวลาประมาณ 5-6 โมงเย็นจึงจะกลับบ้านกัน ส่วนเด็กประถมจะไม่มีเงินเข้าเซเว่นค่ะ ส่วนใหญ่จะกลับบ้านหลังเลิกเรียนซึ่งกลับเร็วและเด็กต้องเข้าบ้านเมื่อมีเสียงเพลงดังขึ้น ในทุกสถานที่ทั่วประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 16:30 น ค่ะ ทุกคนต้องกลับบ้านทั้งเด็กประถมและมัธยม ต้องออกจากสวนสาธารณะ ในกรณีที่เล่นกันที่นั่น เป็นกฎระเบียบที่รู้กันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ค่ะ” (https://bit.ly/2QhcGlU)
คุณ Jun Iwata เป็นหญิงไทยที่มีครอบครัวอยู่ในญี่ปุ่นมา 35 ปีแล้ว ผมเลยถือโอกาส โทร.ไปขอความกระจ่างเพิ่มเติม เมื่อได้ความกระจ่างแล้วจึงอยากแบ่งปันให้ทุกท่านได้ทราบว่าเด็กไทยนั้นกระจอกมาก ขาดคุณภาพ สร้างชาติให้ยิ่งใหญ่ไม่ได้หรอก เราต้องมาเริ่มกันใหม่นับแต่บัดนี้ มาดูกันดังนี้:
1. เด็กญี่ปุ่นชั้นประถมได้เงินค่าขนมเดือนละ 1,000 เยนหรือ 300 บาทเท่านั้น เพราะพ่อแม่ซื้ออาหารและขนมไว้ให้ที่บ้านอยู่แล้ว พวกนี้เลยไม่มีเงินไปเที่ยวซื้อของในร้านเซเว่น เพราะราคาสินค้าที่เซเว่นแพงกว่าในซูเปอร์มาเก็ต จึงไม่ค่อยมีใครเข้า ยกเว้นคนผ่านสัญจรทั่วไปเท่านั้น เด็กๆ มักไปเซเว่นในกรณีไปกับผู้ปกครองเป็นสำคัญ ส่วนของไทยเราเด็กๆ เข้าเซเว่นเป็นว่าเล่น
2. นักเรียนประถมจะเลิกเรียนเวลา 15:00 แล้วพากันไปเที่ยวสวนสาธารณะบ้าง แต่พอถึงเวลา 16:30 น.ในช่วงหน้าหนาว หรือ 17:30 น.ในช่วงหน้าร้อน ก็จะมีเสียงเพลงบรรเลงดังทั่วสวนสาธารณะและสถานที่สาธารณะอื่นๆ ให้ทราบกันทั่วว่าถึงเวลากลับบ้านแล้ว เด็กๆ ก็จะกลับบ้านกันโดยพลัน
3. ในห้างสรรพสินค้านั้น แม้แต่แม่บ้าน (ภริยาที่อยู่บ้านในเวลาสามีไปทำงานซึ่งบัดนี้เหลือเพียง 30% เพราะภริยาส่วนใหญ่ก็ออกไปทำงานนอกบ้านแล้ว) ก็ไม่ไปเดิน เพราะจะถูกสังคมตำหนิว่า ตกงานหรือไม่มีงานทำหรือจึงมาเดินฉุยฉายในห้าง
4. สำหรับเด็กมัธยมก็จะมีกิจกรรมกลุ่มชมรมต่างๆ ของโรงเรียนหลังเลิกเรียน และจะกลับบ้านในเวลาไม่เกิน 18:00 น. ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็มีกิจกรรมซ้อมดนตรี ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปเที่ยวศูนย์การค้ากัน ยิ่งกว่านั้นเด็กมัธยม 4-6 ก็จะหางาน Part-time ทำกันแล้วเพื่อหาเงินใช้เองมากกว่า จึงแทบไม่มีเวลาว่างไปเที่ยวห้าง
5. ถ้าเด็กไม่กลับบ้าน ทำผิดอะไรในโรงเรียน ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ และถูกตำหนิก็คือผู้ปกครอง ถือว่าดูแลสั่งสอนลูกไม่ได้ดี ผู้ปกครองต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กด้วย เช่น ผู้เป็นแม่จะแต่งตัวสายเดี่ยว กางเกงขาสั้นจุ๊ดจู๋เดินห้างแบบบ้านเราไม่ได้ เพราะสังคมจะมองว่าเป็นคนไม่ดี แม่ชาวญี่ปุ่นจึงดูคล้ายแต่งตัวเชยๆ และอยู่ในกรอบที่ดีงาม
6. ยิ่งเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย เด็กๆ ก็จะหางานชั่วคราวทำ ซึ่งเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า อะรุไบ (Arubai) เช่น เป็นแคชเชียร์ ล้างจาน ทำงานครัว ทำงานในร้านเคเอฟซี แม็ค เซเว่น เสิร์ฟอาหาร ฯลฯ โดยได้ค่าจ้างเป็นรายวันๆ ละถึง 10,000 เยน หรือ 3,450 บาท (ไม่ใช่ได้ทุกวัน) เด็กๆ จึงไม่ค่อยมีเวลาเข้าห้าง สังคมญี่ปุ่นยังสอนให้เด็กๆ ขยันขันแข็ง แข่งกันเรียนหนังสือ ไม่ใช่แข่งกันแต่งตัว แข่งกันเที่ยว เป็นต้น
7. ญี่ปุ่นสอนให้เด็กช่วยตัวเองตั้งแต่เตาะแตะพอเดินได้แล้ว เช่น จะทิ้งของเล่นเรี่ยราดไม่ได้ จะไม่มีการเก็บให้เด็ก เด็กต้องรู้จักเรียนรู้ความรับผิดชอบในการเก็บเองโดยมีการใช้ทั้งรางวัลและการลงโทษเป็นเครื่องมือฝึกเด็ก
8. เด็กญี่ปุ่นทำไม่ดี ทำผิดกฎหมาย เช่น ฆ่าคนตาย ทำร้ายร่างกาย ติดคุก จะมีการบันทึกประวัติลงในทะเบียนบ้าน ทำให้เด็กหางานทำได้ยาก ครอบครัวต้องย้ายบ้านออกไปที่อื่นเลย เพราะคนแถวนั้นจะรู้เรื่องไม่ดีนี้และตำหนิว่าบุพการีสอนลูกไม่ดี ด้วยความเข้มงวดเช่นนี้ เด็กๆ จึงอยากเป็นคนดีให้สังคมยอมรับ ยิ่งรอยสัก ยิ่งเป็นสิ่งต้องห้ามที่คนญี่ปุ่นถือมาก
9. อันที่จริง พ่อแม่ก็ไม่ค่อยมีเวลาสอนลูกมากนัก เพราะต่างก็ต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว แต่เด็กดีได้เพราะโรงเรียนวางระบบไว้ให้ดี เด็กญี่ปุ่นจะเป็นดั่งฝูงนกที่ไปไหนไปด้วยกัน อยู่ในกรอบที่ดีงาม โอกาสที่จะออกนอกลู่นอกทางจึงน้อย โรงเรียนดีได้ก็เพราะมีครูดีที่ไม่ใช่ครูที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ไต่เต้า เอาตัวรอดหรือฉุยฉายไปวันๆ
10. ที่น่าแปลกมากก็คือ คนญี่ปุ่นถึง 52.4% ไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ และมีเพียง 12% ที่เห็นว่าศาสนามีความสำคัญ (https://bit.ly/2hAaOEw) ผิดกับคนไทยที่แทบทุกคนระบุว่าตนเองนับถือศาสนา (https://bit.ly/1nk5eRW) แต่คนญี่ปุ่นกลับเป็นคนซื่อสัตย์ อดทน ประหยัด สุภาพ ไม่โกหกใคร ไม่เอาเปรียบใคร จึงทำให้อาชญากรรมในญี่ปุ่นน้อยกว่าไทย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าประเทศไทย
นี่แหละครับ ถ้าไทยเรายังเป็นอย่างนี้ จะไปทัดเทียมนานาอารยประเทศได้อย่างไร และอาจถูกชาติอื่นแซงไปก็ได้โดยเฉพาะเวียดนาม เขมร พม่าที่เป็นเพื่อนบ้านเรา ที่เขียนมานี้ไม่ได้เกลียดหรือดูถูกชาติไทยของเรา แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าถ้าไทยเราไม่พัฒนาเด็กๆ ต่อไปในวันหน้าชาติไทยเราจะยิ่งตกต่ำหนักลงไปอีก ยิ่งได้ครูและระบบโรงเรียนที่ใช้ไม่ได้ ยิ่งผลิตผู้ใหญ่ที่ไร้คุณภาพ อนาคตชาติไทยจะเป็นอย่างไรหนอ
ดูแล้วแผนพัฒนาชาติ 20 ปีของ ค.ส.ช. คงไม่สัมฤทธิผลแน่นอน