ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในเดือนกรกฎาคม 2562 มีการเปิดตัวลดลง โดยมีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 33 โครงการ ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2562 จำนวน 14 โครงการ จึงทำให้มีจำนวนหน่วยขายและมูลค่าโครงการลดลงตาม โดยลักษณะการพัฒนาเป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัย 32 โครงการ และอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ อีก 1 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายรวม 8,379 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 43,719 ล้านบาท
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวว่าในภาพรวมโครงการที่เปิดขายใหม่ในเดือนนี้จะมีจำนวนหน่วยขาย มูลค่าโครงการลดลง แต่ราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตเพิ่มขึ้น (ประมาณ 27%) เนื่องจากมีหน่วยขายที่มีราคาขายตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 4,883 หน่วย หรือประมาณ 58% ของหน่วยขายทั้งตลาด ซึ่งราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของเดือนนี้มีราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 5.218 ล้านบาท แต่เดือนที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ยที่ 4.127 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้สูงมากขึ้น เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
เมื่อพิจารณาอัตราการขายได้ จะพบว่าในเดือนแรกของการเปิดขายมีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 23% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาที่มีอัตราการขายได้ที่ 20% ต่อเดือน โดยประเภทที่มีอัตราการขายได้สูงสุด และมีจำนวนหน่วยขายเป็นส่วนใหญ่ของตลาดคืออาคารชุดราคา 10-20 ล้านบาท จำนวน 212 หน่วย ขายได้แล้ว 147 หน่วย (69%) รองลงคือ บ้านแฝดระดับราคา 5-10 ล้านบาท จำนวน 180 หน่วย ขายได้แล้ว 98 หน่วย (54%) และอันดับ 3 คืออาคารชุดระดับราคา 1-2 ล้านบาท จำนวน 1,019 หน่วย ขายได้แล้ว 361 หน่วย (35%)
ในด้านทำเลที่ตั้ง (โปรดดูแผนที่) จะพบว่าในเดือนนี้มีโครงการที่เปิดตัวใหม่และตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพชั้นในจำนวน 9 โครงการ ตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นกลางและส่วนต่อขยายของเมือง (intermediate area) จำนวน 16โครงการ เช่น ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรามอินทรา ถนนประชาอุทิศ ถนนเพชรเกษม ถนนกัลปพฤกษ์ ถนนกาญจนาภิเษก และถนนพระราม 2 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอีก 8 โครงการที่อยู่ในพื้นที่รอบนอกซึ่งใกล้แหล่งงาน และชุมชนที่อยู่อาศัยในย่านนั้น เช่น ย่านถนนพุทธมณฑสาย 5 ย่านคลองหลวง ย่านรังสิต-ลำลูกกา และหนองจแก เป็นต้น
หากพิจารณาจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวในเดือนกรกฎาคมของปีนี้เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมาจะพบว่า ในปีนี้มีจำนวนโครงการลดลง 5 โครงการ (18%) มีจำนวนหน่วยขายลดลง 326 หน่วย (-4%) แต่มีมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น 3,057 ล้านบาท (7%) และมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้นจาก 4.641 ล้านบาท เป็น 5.218 ล้านบาท (11.7%)