เรื่องที่แชร์กันว่ามีจดหมายของโรงเรียนถึงแม่ของนายเอดิสันผู้ประดิษฐ์หลอดไฟของโลก ว่านายเอดิสันเป็นเด็กสมองกลวงนั้น เป็นเรื่องเท็จที่แต่งขึ้นมาสร้างแรงบันดาลใจแบบโกหกเท่านั้น
ตัวอย่างเช่นในคลิป “เรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจ ‘คำพูดเปลี่ยนชีวิต’: โทมัส เอดิสัน ‘ยอดนักประดิษฐ์’” (https://bit.ly/2LfwWmQ) ระบุว่า “วันหนึ่ง โทมัส เอดิสันในวัยเด็กกลับมาบ้านพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แม่ของเขา เขาพูดว่า ‘แม่ครับ ครูให้นำกระดาษแผ่นนี้มาให้แม่และบอกว่า แม่คนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์อ่าน ครูเขียนว่าอะไรครับแม่’ ตาของแม่เต็มไปด้วยน้ำตา เธออ่านกระดาษแผ่นนั้นด้วยเสียงอันดังต่อหน้าลูกชายว่า ‘ลูกชายของคุณเป็นเด็กอัจฉริยะ โรงเรียนของเราเล็กเกินไปสำหรับเขา และไม่มีครูที่ดีเพียงพอที่จะสอนเขาได้ กรุณาสอนลูกของคุณด้วยตัวคุณเอง’. . .วันหนึ่งโทมัสได้ค้นหาสิ่งของและไปพบเจอกระดาษแผ่นที่ครูเคยเขียนและแม่ได้อ่านให้เขาฟังเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาจึงเปิดอ่าน ที่แท้จริงแล้ว ในกระดาษแผ่นนั้น ครูเขียนว่า ‘ลูกชายของคุณมีความบกพร่องทางปัญญา เราไม่สามารถให้เขาร่วมชั้นเรียนอีกต่อไป’ นั่นแปลว่า โทมัส เอดิสัน โดนไล่ออกจากโรงเรียน”
ในคำบรรยายยังสรุปเพิ่มเติมว่า “โทมัส เอดิสัน ได้รู้ความจริง จึงได้เขียนบันทึกลงในไดอารี่ของเขาว่า "โทมัส เอดิสัน คือเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา แต่แม่ของเขาคือผู้พลิกฟื้นให้เขากลับกลายมาเป็นบุคคลอัจฉริยะแห่งศตวรรษ" *คำพูดบวกเพียงประโยคเดียว สามารถสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนชีวิตคนได้ทั้งชีวิต ไม่ว่าวันนี้คุณจะดีพอในสายตาตนเอง หรือในสายตาคนอื่นแล้วหรือยัง จงพูดกับตัวเองต่อไป ว่าเราจะสำเร็จแน่นอน...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
ในเว็บไซต์ Snopes (https://bit.ly/2uBfFOZ) ซึ่งมักค้นคว้าเรื่อง “ดรามา” ต่างๆ มาตีแผ่ความจริงแล้วโรงเรียนบอกกับนายเอดิสันและคุณแม่ของเขาให้ทราบถึงความบกพร่องทางปัญญาของเขา ไม่ได้เขียนจดหมายอะไรเลย แม่ของเขาและเขายังเดินทางไปต่อว่าที่โรงเรียน แต่สุดท้ายแม่ของเขาก็เป็นผู้สอนเขาเองที่บ้านจนประสบความสำเร็จในที่สุด ไม่มีอะไรเกี่ยวกับจดหมายเลยแม้แต่น้อย
การพยายามหักมุมบอกว่าการพูดในแง่บวกเป็นการสร้างกำลังใจนั้น เป็นเท็จเช่นกัน การพูดในแง่บวกอาจปลุกความฮึกเหิมขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นการออกไปแลกชีวิตสู้ศึกกับอริราชศัตรูก็เป็นเรื่องหนึ่ง เช่นมีนิทานที่เล่ากันมาว่า มีทหารคนหนึ่งอมพระขณะฟาดฟันกับศัตรู แต่พอดีพระเครื่องที่อมอยู่ตกน้ำ ทหารผู้นั้นจึงคว้าพระขึ้นมาอม ปรากฏว่าทีนี้พระเครื่องดิ้นได้ ทหารก็คิดว่าเป็นอภินิหาร จึงต่อสู้จนชนะในที่สุด และในตอนท้ายตอนคายพระเครื่องออกมา กลับกลายเป็นกบตัวหนึ่งเท่านั้น หรืออีกกรณีหนึ่งที่มีคนบางคนในเหตุการณ์ไฟไหม้ ก็ตระหนกจนสามารถแบ่งตุ่มทั้งใบหรือของหนักๆ อื่นๆ วิ่งหนีได้ แต่พอไฟดับ ก็ไม่สามารถแบกกลับไปด้วยคนๆ เดียวได้
ผมคุยกับนักขายประกันอาวุโส ท่านก็บอกว่าลำพังการปลุกใจให้คนฮึกเหิม ก็อาจได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป็นประเด็นสำคัญ เพราะความสำเร็จไม่ใช่ได้มาด้วยการฮึดเพียงครั้งเดียว แต่ต้องกระทำต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามการสร้างแรงบันดาลใจก็ยังต้องทำต่อไปโดยเฉพาะกับเซลล์ใหม่ๆ เช่น เซลล์ขายประกัน แต่ต่อเมื่อหมดญาติมิตรที่จะไปขายได้แล้ว ส่วนมากก็มักตีบตัน และเลิกอาชีพนักขายไป ผู้ประสบความสำเร็จในการขายตรง คงไม่ใช่เกิดจากการปลุกขวัญ แต่อยู่ที่เรามีเครือขายมากน้อยแค่ไหนต่างหาก
เราไม่ควรไปเชื่อพวกโค้ช หรือพวกนักปลุกใจอะไรมากนัก ถ้าสินค้าไม่ดี วางขายผิดที่ผิดทางผิดกาลเทศะ ตั้งราคาผิดๆ และขาดการส่งเสริมการขายเท่าที่ควร เราก็คงไม่สามารถขายสินค้านั้นได้ เว้นแต่การหลอกขาย หรือซื้อขายด้วยความเกรงใจในฐานะญาติมิตร เป็นต้น อย่างไรก็ตามโค้ชเหล่านี้ก็หากินจากการปลุกใจ ก็ไม่ได้ทำผิดคิดชั่วอะไร เพียงแต่มุ่งประโลมโลกให้เรามีกำลังใจ แต่เป็นกำลังใจแบบประเดี๋ยวประด๋าว (One time do and die basis)
ความสำเร็จในการงาน ต้องอยู่ที่ว่าเรารู้จริงในการงานนั้นมากน้อยแค่ไหน เรารู้จักการวางแผนดีหรือไม่ มีความเป็นนักธุรกิจ (Entrepreneurship) หรือไม่ ตลอดจนมีปัจจัยภายนอกซึ่งก็คือ 4P (Product Price Place และ Promotion) ที่เอื้อหรือไม่ เป็นต้น