ไทยจะแข่งกับเวียดนามไหวไหม
  AREA แถลง ฉบับที่ 457/2562: วันจันทร์ที่ 09 กันยายน 2562

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            ในระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคม 2562 ผมเดินทางไปที่นครดานังและพื้นที่ใกล้เคียง เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายในเวียดนามแล้วก็ตกใจกับความเจริญขึ้นอย่างผิดหูผิดตา  จึงอยากเขียนให้สังคมได้รับทราบ และเตือนสติทางราชการในการกุมบังเหียนพัฒนาประเทศ

  มีคนกล่าวว่า  
  สมัย ร.5 แข่งกับ ญี่ปุ่น
  ช่วงปี 2500  แข่งกับ ไต้หวัน
  ช่วงปี 2510  แข่งกับ ฮ่องกง
  ช่วงปี 2520  แข่งกับ สิงคโปร์
  ช่วงปี 2530  แข่งกับ เกาหลีใต้
  ช่วงปี 2540 แข่งกับ มาเลเซีย
  ช่วงปี 2550 แข่งกับ จีน
  ช่วงปี 2560  แข่งกับ เวียดนาม
  ช่วงปี 2570  แข่งกับ อินโดนีเซีย
  ช่วงปี 2580  แข่งกับ พม่า
  ช่วงปี 2590  แข่งกับ ลาว
  ช่วงปี 2600  ?


            ดูประหนึ่งว่า 100 ปีนี้ แข่งกับใคร ไทยแพ้หมด  ผมจำได้ว่าที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ที่ผมจบมา เคยมีนักเรียนเก่าคนหนึ่งชื่อ ตนกูอับดุลรามาน นายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย  แสดงว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยเจริญกว่ามาเลเซียเป็นไหนๆ  ผมไปเรียนที่เบลเยียมปี 2529 คนจบปริญญาตรีจีนยังมีรายได้เดือนละ 400 บาท ขณะที่ไทยอยู่ที่ 25,000 บาท  บัดนี้มาตรฐานไทยอยู่ที่ 15,000 บาท แต่จีนไปไกลเกิน 25,000 บาทแล้วกระมัง

 

            อย่าไปดูถูกเวียดนาม ผมเคยเจออดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศท่านหนึ่ง ท่านยังเคยไปเรียนปริญญาโทที่โฮจิมินห์ซิตี้ในสมัยก่อนสงครามกลางเมือง  เมียนมาในสมัยนายอูถั่นเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ ก็เจริญไม่น้อยหน้าไทย  กรุงพนมเปญก็เคยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ปารีสแห่งตะวันออก”  แม้แต่ลาวก็มีคนทำนายว่าต่อไปจะเจริญมาก แทนที่จะเป็น Land Lock Country กลับกลายเป็น Land Link Country ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมกับการที่เป็น Battery of Southeast Asia และจะเจริญขึ้นผิดหูผิดตา

            ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วไทยเราจะไปอยู่ที่ไหน  ท่านทราบหรือไม่ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (เทียบตัวเลขสิ้นปี 2556-2561) หรือในช่วง ค.ส.ช.ที่ผ่านมา ประชาชนไทยจนลงถึงประมาณ 10% (https://bit.ly/2WCX2n3) ทั้งนี้เป็นผลการสำรวจด้านเศรษฐกิจและสังคมของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไม่ใช่ตัวเลขปลอมๆ  ทุกวันนี้คนไทยมีหนี้สินมากมาย ความยากจนแผ่ไพศาลไปทั่ว เข้าสู่ภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย”

            ลองมาดูเวียดนามจากข้อมูล CIA World Facebook จะเห็นได้ว่าประชากรของเวียดนามเติบโตอย่างมากในรอบ 13 ปีที่ผ่านมา (ปี 2548-2561) รายได้ประชาชาติก็เติบโตขึ้น ถ้าเทียบเป็นสัดส่วน ก็จากระดับ 43% ของไทยเป็น 55% ไปแล้ว  แสดงว่าเวียดนามเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่าไทยมาก  เดี๋ยวนี้จำนวนคนจนของไทยและเวียดนามมีแทบจะเท่ากันคือ 8% แล้ว จากแต่เดิมเมื่อ 13 ปีก่อนที่เวียดนามมีคนจนถึง 29%

            ผมไปเวียดนามพบว่า แทบทุกเมืองของเวียดนาม กำลังเติบโตอย่างมาก มีคนสนใจไปลงทุน ไม่ได้กระจุกอยู่ในกรุงฮานอยหรือนครโฮจิมินห์ซิตี้แต่อย่างใด  ไล่ตั้งแต่เหนือสุดจนถึงเกาะฟุก๊วกที่อยู่ปลายสุด ต่างเติบโตอย่างก้าวกระโดด  ในขณะที่ไทยเราความเจริญต่างๆ กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและส่วนต่อขยายคือภูมิภาคตะวันออก  ส่วนเมืองอื่นๆ ของไทย มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ถดถอยลงเป็นอย่างมาก ยกเว้นจังหวัดหลักๆ ในภูมิภาคไม่กี่แห่งที่ยังมีการเติบโต เช่น ภูเก็ต และเชียงใหม่

            เวียดนามนำนวัตกรรมมาใช้มากมาย เอาแค่กระเช้าไฟฟ้า ก็ปรากฏว่า

            1. ปี 2561 มีกระเช้าไฟฟ้าลงทะเลไปเกาะฟุก๊วกที่ยาวที่สุดในโลกถึง 7.9 กิโลเมตร จากฝั่งแผ่นดินใหญ่ข้ามไปเกาะฟุก๊วกเพื่อการท่องเที่ยวโดยใช้เวลาเดินทาง 15 นาที ใช้ความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (https://bit.ly/2KWQOtI)

            2. ปี 2556 บนบานาฮิลล์ ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,500 เมตรใกล้นครดานัง มีกระเช้าไฟฟ้าที่สูงที่สุด และมีช่วงที่ยาวที่สุดในโลกถึง 5.8 กิโลเมตร (https://bit.ly/2z5mibJ) ที่บานาฮิลล์นี้มีกระเช้าไฟฟ้า 3 เส้น ขณะนี้กำลังจะสร้างเส้นที่ 4  แต่ภูกระดึงของไทย เรียกร้องมาถึง 30 ปี ไม่ได้สร้าง ทั้งที่ประชาชนในพื้นที่ถึง 97% ต้องการให้สร้าง (https://bit.ly/1povC3l)

            3. ปี 2556 ในเขตท่องเที่ยวซาปาทางด้านเหนือของเวียดนามมีกระเช้าไฟฟ้าขนาดใหญ่จุคนได้ 30-35 คน (https://bit.ly/2Zi9TMl) แต่กำลังจะสร้างรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่จุคนได้คราวละมากๆ นับร้อยคนโดยคาดว่าจะทำสถิติโลกอีกเช่นกัน

            ในกรณีการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) จะเห็นได้ว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  นักลงทุน “ยกทัพ” ไปลงทุนในด้านต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมในเวียดนามกันอย่างไม่ขาดสายทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ไต้หวัน ฯลฯ  แต่ในขณะที่ไทยมีปริมาณเม็ดเงินเข้ามาลงทุนน้อยกว่าเวียดนามแล้ว (https://s.nikkei.com/2Gd6V6y)

            น่าแปลกไหม เวียดนามมีคนแห่ไปลงทุนจำนวนมหาศาลโดยไม่ต้อง “ขายชาติ” โดย

            1. ให้เช่าที่ดิน 99 ปี

            2. ให้ใช้สกุลเงินตราของตนองในภูมิภาคตะวันออก (EEC)

            3. ให้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีเข้าท้องถิ่น

            4. ให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ดินและโดยเฉพาะห้องชุดได้แทบ 100%

            5. ให้ทำงานวิชาชีพโดยไม่ต้องมีใบอนุญาตจากองค์กรในท้องถิ่น ฯลฯ

            ขนาดไทยเรา “แก้ผ้า” จนล่อนจ้อน ก็ยังดึงดูดนักลงทุนเข้าประเทศได้ไม่มากเท่าเวียดนาม เมื่อปี 2561 ชาวเวียดนามประท้วงครั้งใหญ่เพราะรัฐบาลตั้งใจจะให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปีในเขตเศรษฐกิจพิเศษขนาดเล็กอันหนึ่ง (ไม่ได้คลุมถึง 3 จังหวัดตะวันออกเช่นไทย) ทางด้านเหนือใกล้ชายแดนจีน ซึ่งนักลงทุนที่จะมาเช่าก็มีแต่จีนนั่นเอง  ปรากฏว่ารัฐบาลของประชาชนเวียดนามยอมทำตาม เลิกแนวคิด “ขายชาติ” ไปแล้ว (https://s.nikkei.com/2P7gQzK)

            ผมไปเวียดนามตั้งแต่ปี 2542 เคยไปเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังที่เวียดนามในปี 2548-2549 เคยไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทมหาชนในนครโฮจิมินห์ซิตี้ และยังไปสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามหลายเมือง เวียดนามเจริญขึ้นอย่างผิดหูผิดตาจริงๆ  ที่เขาล้าหลังลงก็เพราะสงครามกลางเมือง  อย่าลืมว่า “ยุติธรรมไม่มี สามัคคีไม่เกิด” ถ้าไทยเรายังเป็นอยู่อย่างนี้ อนาคตของประเทศชาติของเรา อาจจะถูกคนอื่นแซง  ที่ผ่านมาเราเห็นคนหนุ่มสาวเวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชามาทำงานในไทย  ในอนาคต เมื่อเขาเจริญขึ้น แล้วเราจะเป็นอย่างไร 

            คนรุ่นปู่เยี่ยงผม (61 ปี) คงหมดอายุขัยไปก่อน  แต่ลูกหลานเราจะอยู่อย่างไร  ไทยต้องพัฒนาให้เร็วกว่านี้
 

อ่าน 2,374 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved