ในระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคม 2562 ผมเดินทางไปที่นครดานังและพื้นที่ใกล้เคียง เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายในเวียดนามแล้วก็ตกใจกับความเจริญขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จึงอยากเขียนให้สังคมได้รับทราบ และเตือนสติทางราชการในการกุมบังเหียนพัฒนาประเทศ
มีคนกล่าวว่า | ||
สมัย ร.5 | แข่งกับ ญี่ปุ่น | |
ช่วงปี 2500 | แข่งกับ ไต้หวัน | |
ช่วงปี 2510 | แข่งกับ ฮ่องกง | |
ช่วงปี 2520 | แข่งกับ สิงคโปร์ | |
ช่วงปี 2530 | แข่งกับ เกาหลีใต้ | |
ช่วงปี 2540 | แข่งกับ มาเลเซีย | |
ช่วงปี 2550 | แข่งกับ จีน | |
ช่วงปี 2560 | แข่งกับ เวียดนาม | |
ช่วงปี 2570 | แข่งกับ อินโดนีเซีย | |
ช่วงปี 2580 | แข่งกับ พม่า | |
ช่วงปี 2590 | แข่งกับ ลาว | |
ช่วงปี 2600 | ? |
ดูประหนึ่งว่า 100 ปีนี้ แข่งกับใคร ไทยแพ้หมด ผมจำได้ว่าที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ที่ผมจบมา เคยมีนักเรียนเก่าคนหนึ่งชื่อ ตนกูอับดุลรามาน นายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย แสดงว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยเจริญกว่ามาเลเซียเป็นไหนๆ ผมไปเรียนที่เบลเยียมปี 2529 คนจบปริญญาตรีจีนยังมีรายได้เดือนละ 400 บาท ขณะที่ไทยอยู่ที่ 25,000 บาท บัดนี้มาตรฐานไทยอยู่ที่ 15,000 บาท แต่จีนไปไกลเกิน 25,000 บาทแล้วกระมัง
อย่าไปดูถูกเวียดนาม ผมเคยเจออดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศท่านหนึ่ง ท่านยังเคยไปเรียนปริญญาโทที่โฮจิมินห์ซิตี้ในสมัยก่อนสงครามกลางเมือง เมียนมาในสมัยนายอูถั่นเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ ก็เจริญไม่น้อยหน้าไทย กรุงพนมเปญก็เคยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ปารีสแห่งตะวันออก” แม้แต่ลาวก็มีคนทำนายว่าต่อไปจะเจริญมาก แทนที่จะเป็น Land Lock Country กลับกลายเป็น Land Link Country ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมกับการที่เป็น Battery of Southeast Asia และจะเจริญขึ้นผิดหูผิดตา
ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วไทยเราจะไปอยู่ที่ไหน ท่านทราบหรือไม่ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (เทียบตัวเลขสิ้นปี 2556-2561) หรือในช่วง ค.ส.ช.ที่ผ่านมา ประชาชนไทยจนลงถึงประมาณ 10% (https://bit.ly/2WCX2n3) ทั้งนี้เป็นผลการสำรวจด้านเศรษฐกิจและสังคมของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไม่ใช่ตัวเลขปลอมๆ ทุกวันนี้คนไทยมีหนี้สินมากมาย ความยากจนแผ่ไพศาลไปทั่ว เข้าสู่ภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย”
ลองมาดูเวียดนามจากข้อมูล CIA World Facebook จะเห็นได้ว่าประชากรของเวียดนามเติบโตอย่างมากในรอบ 13 ปีที่ผ่านมา (ปี 2548-2561) รายได้ประชาชาติก็เติบโตขึ้น ถ้าเทียบเป็นสัดส่วน ก็จากระดับ 43% ของไทยเป็น 55% ไปแล้ว แสดงว่าเวียดนามเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่าไทยมาก เดี๋ยวนี้จำนวนคนจนของไทยและเวียดนามมีแทบจะเท่ากันคือ 8% แล้ว จากแต่เดิมเมื่อ 13 ปีก่อนที่เวียดนามมีคนจนถึง 29%
ผมไปเวียดนามพบว่า แทบทุกเมืองของเวียดนาม กำลังเติบโตอย่างมาก มีคนสนใจไปลงทุน ไม่ได้กระจุกอยู่ในกรุงฮานอยหรือนครโฮจิมินห์ซิตี้แต่อย่างใด ไล่ตั้งแต่เหนือสุดจนถึงเกาะฟุก๊วกที่อยู่ปลายสุด ต่างเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่ไทยเราความเจริญต่างๆ กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและส่วนต่อขยายคือภูมิภาคตะวันออก ส่วนเมืองอื่นๆ ของไทย มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ถดถอยลงเป็นอย่างมาก ยกเว้นจังหวัดหลักๆ ในภูมิภาคไม่กี่แห่งที่ยังมีการเติบโต เช่น ภูเก็ต และเชียงใหม่
เวียดนามนำนวัตกรรมมาใช้มากมาย เอาแค่กระเช้าไฟฟ้า ก็ปรากฏว่า
1. ปี 2561 มีกระเช้าไฟฟ้าลงทะเลไปเกาะฟุก๊วกที่ยาวที่สุดในโลกถึง 7.9 กิโลเมตร จากฝั่งแผ่นดินใหญ่ข้ามไปเกาะฟุก๊วกเพื่อการท่องเที่ยวโดยใช้เวลาเดินทาง 15 นาที ใช้ความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (https://bit.ly/2KWQOtI)
2. ปี 2556 บนบานาฮิลล์ ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,500 เมตรใกล้นครดานัง มีกระเช้าไฟฟ้าที่สูงที่สุด และมีช่วงที่ยาวที่สุดในโลกถึง 5.8 กิโลเมตร (https://bit.ly/2z5mibJ) ที่บานาฮิลล์นี้มีกระเช้าไฟฟ้า 3 เส้น ขณะนี้กำลังจะสร้างเส้นที่ 4 แต่ภูกระดึงของไทย เรียกร้องมาถึง 30 ปี ไม่ได้สร้าง ทั้งที่ประชาชนในพื้นที่ถึง 97% ต้องการให้สร้าง (https://bit.ly/1povC3l)
3. ปี 2556 ในเขตท่องเที่ยวซาปาทางด้านเหนือของเวียดนามมีกระเช้าไฟฟ้าขนาดใหญ่จุคนได้ 30-35 คน (https://bit.ly/2Zi9TMl) แต่กำลังจะสร้างรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่จุคนได้คราวละมากๆ นับร้อยคนโดยคาดว่าจะทำสถิติโลกอีกเช่นกัน
ในกรณีการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) จะเห็นได้ว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุน “ยกทัพ” ไปลงทุนในด้านต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมในเวียดนามกันอย่างไม่ขาดสายทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ไต้หวัน ฯลฯ แต่ในขณะที่ไทยมีปริมาณเม็ดเงินเข้ามาลงทุนน้อยกว่าเวียดนามแล้ว (https://s.nikkei.com/2Gd6V6y)
น่าแปลกไหม เวียดนามมีคนแห่ไปลงทุนจำนวนมหาศาลโดยไม่ต้อง “ขายชาติ” โดย
1. ให้เช่าที่ดิน 99 ปี
2. ให้ใช้สกุลเงินตราของตนองในภูมิภาคตะวันออก (EEC)
3. ให้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีเข้าท้องถิ่น
4. ให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ดินและโดยเฉพาะห้องชุดได้แทบ 100%
5. ให้ทำงานวิชาชีพโดยไม่ต้องมีใบอนุญาตจากองค์กรในท้องถิ่น ฯลฯ
ขนาดไทยเรา “แก้ผ้า” จนล่อนจ้อน ก็ยังดึงดูดนักลงทุนเข้าประเทศได้ไม่มากเท่าเวียดนาม เมื่อปี 2561 ชาวเวียดนามประท้วงครั้งใหญ่เพราะรัฐบาลตั้งใจจะให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปีในเขตเศรษฐกิจพิเศษขนาดเล็กอันหนึ่ง (ไม่ได้คลุมถึง 3 จังหวัดตะวันออกเช่นไทย) ทางด้านเหนือใกล้ชายแดนจีน ซึ่งนักลงทุนที่จะมาเช่าก็มีแต่จีนนั่นเอง ปรากฏว่ารัฐบาลของประชาชนเวียดนามยอมทำตาม เลิกแนวคิด “ขายชาติ” ไปแล้ว (https://s.nikkei.com/2P7gQzK)
ผมไปเวียดนามตั้งแต่ปี 2542 เคยไปเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังที่เวียดนามในปี 2548-2549 เคยไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทมหาชนในนครโฮจิมินห์ซิตี้ และยังไปสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามหลายเมือง เวียดนามเจริญขึ้นอย่างผิดหูผิดตาจริงๆ ที่เขาล้าหลังลงก็เพราะสงครามกลางเมือง อย่าลืมว่า “ยุติธรรมไม่มี สามัคคีไม่เกิด” ถ้าไทยเรายังเป็นอยู่อย่างนี้ อนาคตของประเทศชาติของเรา อาจจะถูกคนอื่นแซง ที่ผ่านมาเราเห็นคนหนุ่มสาวเวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชามาทำงานในไทย ในอนาคต เมื่อเขาเจริญขึ้น แล้วเราจะเป็นอย่างไร
คนรุ่นปู่เยี่ยงผม (61 ปี) คงหมดอายุขัยไปก่อน แต่ลูกหลานเราจะอยู่อย่างไร ไทยต้องพัฒนาให้เร็วกว่านี้