ในช่วงปี 2515 ผู้เขียนจำได้ว่าได้นายธีรยุทธ บุญมี สมัยเป็นนิสิตจุฬาฯ ได้ออกมาเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น สมัยนั้นผู้เขียนยังเป็นนักเรียนชั้น ม.ศ.1 อยู่ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ การต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นก็นับเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกดี ได้ยินคุณพ่อคุณแม่คุยกันว่า ก็ยังมีคนไทยจำนวนมากเข้าไปซื้อสินค้าญี่ปุ่นโดยไม่สนใจกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ยืนประท้วงอยู่หน้าห้างไทยไดมารู ถ.ราชดำริ
อันที่จริงหลังจากญี่ปุ่นฟื้นจากพิษสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็เริ่มผลิตสินค้าออกขายทั่วโลกคงตั้งแต่ปี 2510 คล้ายกับจีนในช่วงหลังมานี้ ผู้เขียนยังจำเพลงนี้ได้ “ดินสอดำมิตซูบิชิ ตราขวานทองเหลาง่ายไม้อ่อน เด็กนักเรียนข้าราชการ ทุกคนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง” เพลงนี้กรอกหูชาวบ้านอยู่ทุกวันในรายการวิทยุโทรทัศน์ในสมัยนั้น
ญี่ปุ่นเริ่มส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้สินค้าญี่ปุ่นจะไม่ได้มีคุณภาพสูงเท่าสินค้าจากประเทศตะวันตก แต่ก็มีราคาถูกกว่า จึงเป็นที่นิยมของคนไทยที่ยากจนนักในสมัยนั้น ญี่ปุ่นมาตั้งโรงงานทอผ้าและโรงงานอื่นๆ อีกมากมายในประเทศไทย คนไทยกลุ่มหนึ่งก็สู้ โดยชูสินค้าไทย ผ้าฝ้ายไทย แต่โดยที่มันยับยู่ยี่ และไม่คงทน แถมมีราคาแพงกว่าสินค้าญี่ปุ่น สินค้าไทยที่ไม่ปรับตัวแบบนั้น ก็เลยสู้ไม่ได้
มาถึงวันนี้ผู้เขียนขออนุญาตเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ว่าอาจเป็นไปได้ที่นายธีรยุทธและพวก ถูกนายทุนขุนศึกศักดินา ชักจูงให้มาต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น เพราะกลุ่มทุนของตนสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ สมัยนั้นกลุ่มทุนในประเทศยังอาจไม่ได้ประสานผลประโยชน์กับกลุ่มทุนจากต่างประเทศ (เช่น ญี่ปุ่น) ได้อย่างแนบแน่นเช่นทุกวันนี้ พันธกิจรักชาติต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นจึงอาจเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง แต่ก็ยังมีผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้าร่วมเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ศักดินาไทยผู้เชี่ยวชาญการสร้างวาทกรรมจึงขนานนามญี่ปุ่นว่าเป็น ‘สัตว์เศรษฐกิจ’ คือเข้าไปรุกรานเศรษฐกิจของประเทศที่อ่อนแอกว่า และมุ่งครอบงำประเทศเหล่านั้น แต่กาลเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้เอาไทยเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ แต่พฤติกรรมของจีนต่อประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในโลกนี้ ดูคล้ายกับการเป็น ‘สัตว์เศรษฐกิจ’ เป็นอย่างยิ่ง แต่วันนี้ไร้เสียงต่อต้านจากนิสิตนักศึกษาผ่านการชักใยของกลุ่มนายทุนขุนศึกศักดินา ซึ่งคงเป็นเพราะพวกเขาได้ประสานผลประโยชน์กับจีนกันเรียบร้อยแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับเกษตรกรรมมาตั้งแต่ต้นจนถึงปี 2519 ในระหว่างปี 2519 ถึง 2529 ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติใกล้เคียงกันมาก จนถึงปี 2530 ภาคอุตสาหกรรมก็มีสัดส่วนสูงกว่าภาคเกษตรกรรมอย่างเด่นชัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผลพวงทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการลงทุนของนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมากโดยเฉพาะหลังข้อตกลงพลาซ่าแอคคอร์ด (https://bit.ly/2VAkWjv) เมื่อปี 2528 ทำให้โรงงานใหญ่น้อยในญี่ปุ่นพาเหรดย้ายฐานมาประเทศไทยเป็นจำนวนมาก (ตอนนั้นอินโดจีนยังไม่สงบ)
อันที่จริงเศรษฐกิจไทยที่เจริญอย่างยิ่งยวดแบบก้าวกระโดดเป็นเพราะการลงทุนของญี่ปุ่น ไม่ใช่เพราะบุคคลสำคัญที่เป็นนักการเมืองใดในประเทศไทยแม้แต่น้อย จนเมื่อพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี จึงยิ่งทำให้ประเทศชาติก้าวหน้าขึ้นไปใหญ่ ท่าทีของคนไทยต่อญี่ปุ่นจึงควรเป็นท่าทีที่ขอบคุณมากกว่าการก่นด่า ในญี่ปุ่นจะเลี่ยงสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาด้วยกันมาผลิตสินค้าส่งออกจากไทย ก็ทำให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้สูงขึ้นจนถึงทุกวันนี้
แต่บัดนี้ญี่ปุ่นกำลัง ‘ถอนสมอ’ จากประเทศไทยนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งเพราะประเทศเพื่อนบ้านกลับสู่ความสงบ แต่สำหรับประเทศไทย เพื่อฆ่าหนูตัวเดียว (ทักษิณ) ถึงกับยอมเผาบ้านตัวเอง ในทางตรงกันข้ามอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเมียนม่า หลังยุคที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น กลับมีคนไปลงทุนกันมหาศาล สวนทางกับประเทศไทยพี่ดู ‘สาละวันเตี้ยลง’ แทบทุกวัน
ย้อนมาดูวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น เขาสอนให้เราสู้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ (เท่าที่ผู้เขียนเคยดูในสมัยเป็นเด็ก) เช่น ยูโดสายดำ ซันชีโร่ เคนโด้ ฯลฯ หรือภาพยนตร์สร้างจินตนาการ เช่น หุ่นอภินิหาร ยอดมนุษย์ ไอ้มดแดง ฯลฯ ญี่ปุ่นยังสอนให้มีระเบียบวินัย เช่น 5 ส. ที่สำคัญญี่ปุ่นยังสอนให้เข้าถึงความเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมแบบจีน เป็นต้น
ในขณะที่ญี่ปุ่นเข้ามาเปิดโรงงาน สร้างงานให้คนไทยจำนวนมาก แต่จีนกลับส่งกองทัพมนุษย์มาเปิดร้านค้า กิจการเอสเอ็มอี จนดูคล้ายจะมายึดครองประเทศไทย ในทางตรงกันข้ามถ้าเราจะไปค้าขายเปิดร้านอาหารไทยในกรุงปักกิ่งของจีน ก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก จีนมาซื้อห้องชุดเก็งกำไรกันมหาศาล แต่ญี่ปุ่นเมื่อ 30 ปีก่อนมาลงทุนสร้างอาคารชุดเป็นหลัก ญี่ปุ่นในสมัยนั้นซื้อที่ดินสร้างโรงงานกันมากมาย แต่จีนในสมัยนี้มาสร้างโรงงานสักกี่มากน้อยกัน
นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทยจำนวนมหาศาล จนราชการไทยนำไป ‘ปั่น’ ตัวเลขรายได้เข้ารัฐกันยกใหญ่ ปรากฏว่าพวกเขามาแบบทัวร์ศูนย์เหรียญบ้าง ใช้ไกด์จีน รถจีน ร้านอาหารจีน ร้านขายของที่ระลึกจีน ฯลฯ ทุกอย่างจึงแทบไม่ตกหล่นในประเทศไทย แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนก็กำลังลดลง ในขณะที่ทัวร์ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวันมีคุณภาพมากกว่า แต่ตอนนี้พวกเขาไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านแทนที่จะมาไทย แปลกมากพี่จำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลี ไต้หวัน เข้าเวียดนามมากกว่าเข้ามาในประเทศไทยเสียอีก
ทุกวันนี้จีนส่งกองทัพมนุษย์เข้าไปกว้านซื้อที่ดินไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่ในลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนม่า ฯลฯ กันอย่างมหาศาลจนดูคล้ายกับจะไปยึดครองประเทศเหล่านั้นก็ไม่ปาน การลงทุนแบบจีนเป็นที่เข็ดขยาดในศรีลังกา กลุ่มประเทศแปซิฟิก อาฟริกา แต่จีนก็ฉลาดที่สมคบกับกับผู้บริหารประเทศต่างๆ ได้อย่างแนบแน่น จึงไร้แรงต่อด้านแบบจัดฉากเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับญี่ปุ่นในสมัยก่อน
แล้วอย่างนี้ เราจะเรียกจีนยุคนี้ว่าอะไรดี