มีเซียนองค์หนึ่ง เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไปเพราะทำความดีไว้มากมาย ดร.โสภณพาไปไหว้ในช่วงวันตรุษจีน
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) พาชมศาลเจ้าเซียนโค่วแห่งหัวตะเข้
ว่ากันว่า “องค์เซียนแปะโค้วเป็นที่รู้จักแพร่หลายในถิ่นคนบ้านหัวตะเข้ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร และคนไทยเชื่อสายจีนมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5 หรือกว่า 100 ปีแล้ว ว่าท่านเกิดในยุคนั้นราวปีพุทธศักราช 2423 ตอนเป็นเด็กบิดามารดาตั้งชื่อให้ว่า เด็กชายเอี๊ยะฮง แซ่เล้า พอโตขึ้นได้รู้จักกับกับตันเดินเรือสำเภาวิ่งขึ้นล่องจากจีนไปเมืองไทย จึงมีโอกาสเดินทางไปค้าขายที่เมืองไทยในราวปี 2442 เป็นเด็กขายของย่านเยาวราชได้เงินก้อนหนึ่งไปลงทุนทำสวนผักที่หัวตะเข้ เขตลาดกระบัง” (https://bit.ly/30X1dxd)
ใน “เปิดตำนาน!! "เซียนแป๊ะโค้ว ผู้ศักดิ์สิทธิ์" แห่งหัวตะเข้ ละสังขารในท่านั่งสมาธิ สรีระไม่เน่าเปื่อย!!” (https://bit.ly/2sYIAfI) เขียนไว้ดังนี้:
“เซียนแป๊ะโค้ว เดิมท่านชื่อเอียะฮง แซ่เล้า เป็นหนุ่มซินตึ๊ง มาจากเมืองจีน หวังมาหาความเจริญที่เมืองไทย เมื่อแรก มาอยู่เมืองไทย ได้มาทำงาน เป็นเด็กฝึกงาน ที่ร้านแถวเยาวราช เนื่องด้วยท่านเป็นคนฉลาดขยันขันแข็งได้ไต่เต้าจนได้เป็นหลงจู๊(ผู้จัดการ)ของร้าน ตอนหลังท่านพิจารณาว่า การกินเงินเดือน เป็นมนุษย์เงินเดือน มั่นคงดีแต่รวยช้า ท่านจึงคิดไปทำสวนผลไม้ เพราะสมัยนั้นคนทำสวนยังมีน้อย จึงขอลาออกจากเถ้าแก่ ตอนแรกเถ้าแก่ก็ไม่ยอม แต่พอเห็นว่าทัดทานยังไงก็ไม่ได้ จึงได้มอบเงินให้ก้อนหนึ่งไปลงทุน”
“ท่านได้เช่าอยู่ที่ปัจจุบันเรียกว่า หัวตะเข้ ด้วยความขยันขันแข็ง และความรู้ทางด้านเกษตร ทำให้กิจการของท่านเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ไปสะดุดใจ เจ้าของที่ดินที่ท่านเช่า เจ้าของที่ดินมีลูกสาวอยู่หนึ่ง ชื่อมาลัย เจ้าของที่ดิน จึงลองมาทาบทามดู ว่ามีครอบครัวที่เมืองจีนหรือเปล่า ท่านก็ตอบว่ายังไม่มี เขาเลยถามอีกว่า คิดมีครอบครัวบ้างหรือเปล่า ท่านก็ตอบว่า คิดอยู่จะได้ช่วยกันทำมาหากิน เจ้าของที่ดินจึงบอกว่า จะยกลูกสาวให้ สมัยโน้นการแต่งงาน ส่วนมากเกิดจากผู้ใหญ่ชักพา”
“แต่แล้ว ขณะชีวิตกำลังไปได้ดี แม่ของท่านได้ส่งจดหมายมาบอก ว่าได้ทาบทามผู้หญิงให้แล้ว ให้รีบกลับมาแต่งงาน ทำให้ท่านรู้สึกแย่มาก เพราะกับสาวมาลัย ได้ปูพื้นความรักขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยความกตัญญู คนจีนสมัยก่อน จะมีความกตัญญูต่อพ่อแม่มาก สิ่งใดที่พ่อแม่ต้องการ ก็จะไม่ขัดใจท่าน อาจจะเป็นเพราะความกตัญญู ทำให้คนจีนสมัยก่อนจึงร่ำรวย ทำกิจการใดก็ประสบความสำเร็จ ด้วยความกตัญญูต่อแม่นี้ ท่านจึงยอมตัดใจจากคนรัก เดินทางกลับประเทศจีน สมัยโน้น สมัยรัชกาลที่ห้า การเดินทางด้วยเรือสำเภา ใช้เวลายาวนานมาก กว่าจะถึงเมืองจีนใช้เวลาหลายเดือน เมื่อไปถึงปรากฏว่า สาวที่แม่เลือกให้ได้แต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว ท่านจึงอยู่ปฏิบัติแม่เพราะจากมาหลายปีอีกสองเดือน จึงเดินทางกลับไทย”
“แต่เมื่อมาถึงทางนี้ ท่านก็ต้องหัวใจสลาย สาวมาลัยได้แต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว ขณะที่ท่านเดินใจลอยสะเปะสะปะ ผ่านศาลเจ้า ก็มีเสียงลึกลับว่า ท่านเซียนแป๊ะโค้ว โพธิสัตว์ เชิญมาพำนักที่นี่ หลังจากนั้น ท่านจึงอยู่ปฏิบัติธรรมที่ศาลเจ้าแห่งนั้น คนพอเรื่องเดือดร้อน มาขอให้ท่านช่วย ท่านก็สงเคราะห์ช่วยเหลือไป จนคนร่ำลือความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน เรียกท่านว่าเซียนบ้าง”
"ท่านมีอภินิหารมาก คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่าถ้าใครโดนผีสิง เซียนท่านจะนำธงขีดเป็นวงในอากาศ ปรากฏว่าร่างที่โดนผีสิงจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถออกจากวงล้อมนี้ได้ ท่านจะพูดคุยสั่งสอนแล้วจัดทำบุญอุทิศให้วิญญาณไปเกิด คนโดนผีเข้าจะหายแบบน่าอัศจรรย์ จนมีครั้งหนึ่ง ที่ทำให้ท่านเป็นตำนานเล่าขานจนถึงทุกวันนี้ มีเด็กถูกจระเข้คาบดำน้ำไป มีคนมาตามท่านให้ไปช่วย ท่านไปยืนบริกรรมอยู่ริมฝั่ง สักพักเดียว จระเข้ก็คาบเด็กขึ้นมาหา ท่านจึงเอาเท้าเหยียบที่หัวจระเข้ จระเข้ก็คายเด็กออกมา ปรากฏว่าเด็กยังไม่ตาย จึงเป็นตำนานเรียกแถวนั้นว่า หัวตะเข้”
ทำไมร่างของท่านที่ละสังขารไปจึงค้อมตัวมาข้างหน้า มีคำอธิบายว่า “เซียนแป๊ะโค้ว หัวตะเข้. . .เมื่อท่านสิ้นอายุ ท่านดับขันธ์ด้วยท่านั่งสมาธิ ร่างกายท่านไม่เน่าเปื่อย ทางศาลเจ้าจึงนำมาให้คนได้กราบไหว้ ต่อมาน้าชายท่านเดินทางมาจากเมืองจีนเพื่อตามหาหลานชายให้กลับไปดูใจแม่ที่กำลังป่วยหนัก ก็มาพบว่าหลานกลายเป็นเซียนไปแล้ว อีกทั้งยังนั่งตายจากไป จึงตรงเข้าไปต่อว่าสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านว่า ไม่กตัญญูเลย เอาตัวรอดบรรลุธรรมไปคนเดียวทิ้งแม่ให้เจ็บไข้ต้องร้องไห้อาลัยหา สารพัดจะดุด่าธาตุขันธ์ท่าน เพียงไม่นานนับว่าน่าอัศจรรย์ที่สุด สังขารไร้วิญญาณที่นั่งขัดสมาธิเพชรตั้งตรงอยู่นั้นก็ค่อย ๆ โค้งลง ค่อย ๆ ก้มศีรษะลง จนกระทั่งหยุดนิ่งอยู่ในลักษณะดุจดังคนสำนึกผิด น้าชายเห็นอัศจรรย์ดังนั้นก็ตะลึงจังงัง และหยุดการดุด่าทันที จากนั้นก็กราบไหว้แล้วเดินทางกลับประเทศจีนไปบอกแม่ท่านถึงความอัศจรรย์ที่ได้ไปพบมา” (https://bit.ly/2GvyBBz)