นิราศนี้สุดสั้นแต่ทรหดนัก ใช้เวลาประมาณ 32 ชั่วโมงเท่านั้น มาร่วมเดินทางไปด้วยกันกับผมสู่นครสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ในค่ำคืนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 22:45 รถบัสนครชัยแอร์ ก็พาผมออกจากท่ารถแถววิภาวดีมุ่งตรงสู่จังหวัดมุกดาหารเพื่อข้ามไปลาว พอรถออกผมก็เริ่มนอน พยายามนอนให้หลับให้ได้มากที่สุดเพราะต้องทำงานเหนื่อยทั้งวันแน่นอน โชคดีที่รถ 32 ที่นั่ง มีคนนั่งเพียง 18 ที่ แทบทุกคนได้นั่งคงเดียวยกเว้นผมกับอีกไม่กี่คน นับว่าเป็นความโชคร้าย แต่ก็ไม่เป็นไร ทั้งผมและสาวที่นั่งข้างๆ (ไม่รู้จักกัน) ต่างก็ไม่รบกวนกัน และพยายามหลับให้ได้มากที่สุด
ที่มีผู้โดยสารน้อยก็เพราะช่วงนี้เขากลัวไข้หวัดโควิท-19 และฝุ่น PM 2.5 กัน แทบทุกคนใส่หน้ากากกันทั้งนั้น ผมก็เช่นกัน แต่รู้สึกว่าสายรัดแน่นมาก อาจเป็นเพราะหน้าผมอ้วนมาก บางช่วงทนไม่ไหวต้องเอามือจับไว้แทนสายรัด แต่สุดท้ายก็ยอมทนเจ็บจนถึงปลายทางเพราะความกลัวเชื้อโรคนั่นเอง น้องเขยและน้องสาว รวมทั้งเลขาฯ ผมซื้อหน้ากากที่ดีที่สุดให้ผม เรื่องนี้ทำให้ผมนึกได้ว่านี่ท่าผมเหมือนคนอื่นๆ ที่ต้องเดินทางไปกลับบ้านทุกวัน ก็คงเปลืองเงินน่าดู โชคดีที่บ้านผมกับที่ทำงานอยู่ใกล้กัน ใช้เดินเอา
พอไปถึงมุกดาหารเวลา 08:15 น. ผมนึกได้ว่าการขึ้นเรือข้ามฟากง่ายกว่าการขึ้นรถโดยสาร จึงเช่ารถสามล้อ 50 บาทตรงไปยังท่าเรือ แต่ผมเสียท่าเนื่องจากเรือเที่ยวแรกจะออกเวลา 09:30 น. ผมเลยต้องนั่งแกร่วไปอีก 1 ชั่วโมง ความไม่รู้จริงสร้างปัญหากับผมเสียแล้ว อันที่จริงที่ท่ารถมีรถประจำทางข้ามสะพานโดยออกทุกระยะๆ อยู่แล้ว แต่สามล้อคงกลัวเสียรายได้ จึงไม่บอกผม แต่ผมก็ได้กำไรเพราะได้เดินชมวัดและสถานที่โดยรอบ
พอเวลา 09:34 น. เรือลำแรกก็ออก กว่าจะข้ามฟากสำเร็จก็ปาเข้าไป 10:00 น. เพราะต้องอ้อมเกาะกลางแม่น้ำโขงก่อน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมมีนัดไปประเมินนิคมอุตสาหกรรมในเวลา 10:30 น.และก็ไปทันเวลาพอดี ก่อนที่ทางผู้ประสานงานจะมาเสียอีก พอทำงานเสร็จสรรพตั้งแต่ไปสัมภาษณ์โรงงานที่เกี่ยวข้องและเจ้าของโครงการ รวมทั้งไปรับประทานอาหารกลางวันกับผู้ให้การสนับสนุนจากฝั่งลาวแล้ว ก็ยังมีเวลาชมเมืองอีกเล็กน้อย และข้ามฝั่งทางเรือเช่นเคย
เขาบอกว่าเรือออกเวลา 15:30 น. โดยเสียค่าโดยสาร 50 บาท แต่พอเรือมาจริง เขาบอกว่าเป็นเรือไทยที่มาส่งคนข้ามฟาก ถ้าจะขึ้นต้องขออีก 20 บาท ไม่งั้นต้องรอเรือลาวในเวลา 16:30 น. ผมก็ยอมเสียครับอีก 20 บาท รวมเป็น 70 บาท กว่าจะได้ข้ามมาฝั่งไทยก็ปาเข้าไปเกือบ 16:00 น. ยังเหลือเวลานิดหน่อยก่อนนัดกับเพื่อนเก่าก็เลยไปนวดแผนโบราณแบบไทยๆ อีก 1 ชั่วโมงครึ่งเป็นเงิน 300 บาท อย่างน้อยได้หลับๆ ตื่นๆ สักพักหนึ่ง
พอเวลาประมาณ 17:30 น. ก็ไปพบเพื่อนซึ่งเป็นชาวมุกดาหาร เป็นเจ้าของกิจการอะไหล่รถจักรยานยนต์รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองนี้ เพื่อนกับผมเรียนหนังสือด้วยกันที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เราพบกันเมื่อราว 47 ปีก่อน (พบกันตอนเรียน ม.ศ.2 เมื่อปี 2516) ก็เลยได้ “เมาท์มอย” กันตามสมควร ผมพาหนังสือไปฝากเพื่อน เพื่อนกรุณามอบหมูยอให้ผม แถมยังพาผมไปเลี้ยง “แจ่วฮ้อน” “ปลาช่อนโบราณ” และอื่นๆ
ผมได้ข้อคิดดีๆ จากเพื่อนหลายอย่าง เพื่อนคนนี้มีอุดมการณ์ที่ดีต่อประเทศชาติ บริจาคทั้งเงิน ช่วยทั้งแรงในการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้หวังลาภยศใดๆ เพื่อนบอกว่าในบั้นปลายของชีวิต คิดแต่จะช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อนเป็นพุทธสาย “พุทธทาส” เคยบวชเรียนมาแล้วในสมัยเป็นหนุ่มอายุราว 25 ปี มีชีวิตครอบครัวที่สงบสุขและมีอภิชาตบุตรถึง 3 คน ผมตระหนักได้ว่า เด็กๆ ที่ดีมักได้จากพ่อแม่ที่ดี
พอใกล้เวลารถออก เพื่อนผมก็ใจดีขับรถไปส่งถึงท่ารถ ครั้นถึงเวลา 20:45 น. รถทัวร์ก็ออก รู้สึกจะออกก่อนเวลาราว 10 นาทีเพราะคนจองมาครบแล้ว ทั้งคัน 32 ที่นั่ง มีอยู่แค่ 10 คน จนผ่านมาอีก 30 นาที มีจุดจอดอีกแห่งหนึ่ง มีคนขึ้นอีกราว 6 คน รวมแล้วมีคนอยู่รวมกันแค่ 16 คน กิจการรถทัวร์ก็คงลำบากมากในช่วงนี้ แม้แต่แท็กซี่ก็คงหาคนขึ้นยากในช่วงนี้เช่นกัน เพราะเห็นรอกันสลอนที่ท่ารถในเช้าวันนี้
พอเวลา 06:00 รถก็เดินทางมาถึงท่ารถนครชัยแอร์ ผมก็จับแท็กซี่ตรงมาบ้าน ใช้เวลาเดินทางแค่ 30 นาทีจากทางด่วน ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ได้รับประทานอาหารเช้ากับศรีภริยาพอดี และยังทันไปเยี่ยมแม่ก่อนเดินมาทำงาน และก่อนเที่ยงวันนี้ก็ทำรายงานการสำรวจเบื้องต้นส่งลูกค้าเสร็จแล้ว
นี่แหละครับเวลาประมาณ 32 ชั่วโมงของการเดินทางไปกลับกรุงเทพมหานครกับสะหวันนะเขต